ในช่วงสิบกว่าปีมานี้ ยังไม่เคยเห็นครั้งไหนที่การเมืองจะแสดงธาตุแท้และสันดานถาวรเพื่อแย่งชิงจังหวะเกมอำนาจได้อย่างมูมมามไร้สติ ไร้จริยธรรม และเลวร้ายเช่นนี้มาก่อนโดยไม่แยแสสนใจต่อสายตาของประชาชนคนไทยที่มองดูตาปริบๆ ฉุดดึงภาพลักษณ์ของนักการเมืองที่ตกต่ำอยู่แล้ว ให้น่าขยะแขยงมากขึ้นไปอีก
สมรภูมิการเมืองถูกบีบให้พลิกทุกเสี้ยววินาที การชิงไหวชิงพริบดุเด็ดเผ็ดร้อน ความกระหายในอำนาจได้เปลือยจนเห็นความวิปริตทางการเมือง ยอมฉีกทุกกฎทรยศทุกตำราอย่างพิสดารเพื่อเป้าหมายเดียวคือ ความได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งเป็นภาคต่อของการผสมพันธุ์ข้ามขั้วในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร แต่ครั้งนี้เราเห็นความกระสันกว่า และ อุบาทว์กว่าเท่านั้นเอง
แต่ละขั้วการเมืองต่างพยายามสร้างวาทกรรมเชิดชูประชาธิปไตยที่น่าเชื่อถือยกชูเหตุผลข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองอย่างไม่ละอายว่า ทั้งหมดที่กระทำมานั้นมันคือทางออกเดียวของวิกฤตทางการเมือง ราวกับว่า พวกเขาคือผู้เสียสละอย่างยิ่งใหญ่ที่ทำให้กับบ้านนี้เมืองนี้โดยไม่กระดากปากเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม บนคำกล่าวอ้างสวยหรูดังกล่าว มีประเด็นความย้อนแย้งเกิดขึ้นมากมาย ดูแค่ข้อเสนอที่พรรคประชาชน ใช้เป็นเงื่อนไขในการโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ก็มีคำถามว่าประชาชนได้อะไร นอกจากเป้าหมายของพรรคพวกตัวเองได้คุมเกมรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ บีบยุบสภา และปูทางสู่การเลือกตั้งใหม่
ที่วิปริตอย่างร้ายกาจก็คือ เป็นคนโหวตตั้งนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ไปตั้งรัฐบาลแท้ๆ แต่กลับไปนั่งทำตัวเป็นพระเอกฝ่ายค้านใช้ 143 เสียงคอยชี้นิ้วกำกับ และวิจารณ์รัฐบาล ลอยตัวเหนือปัญหาโดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ คอยตักตวงคะแนนนิยมไป ที่ตลกร้ายกว่านั้นก็คือเขียนเงื่อนไขห้ามรัฐบาลเสียงน้อยเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเพราะกลัวถูกหักหลัง
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ยอมรับทุกสภาพเงื่อนไข เพียงเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล แม้จะเป็นเสียงข้างน้อยไร้เสถียรภาพก็ตาม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า 4 เดือนจะบริหารประเทศไปได้อย่างไร ท่ามกลางข้อระแวงในคดีเขากระโดงและฮั้วเลือก สว. ทั้งๆที่จุดยืนและอุดมการณ์เรื่องแก้รัฐธรรมนูญยืนอยู่คนละขั้วกับพรรคประชาชน และรู้อยู่เต็มอกว่านี่คือสารตั้งต้นนำไปสู่การแก้ไขมาตรา 112 ในอนาคต
ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น แม้สิ้นความชอบธรรมไปแล้วตั้งแต่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ในคดีคลิปเสียง แต่กลับยังตะเกียกตะกายที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลให้ได้เดินเกมทุกวิถีทางเพื่อหวังกุมอำนาจการเมืองต่อไปลงทุนบากหน้าไปอ้อนวอนขอเสียงสนับสนุนจากพรรคที่ตัวเองเคยหักหลัง โดยยอมรับทุกเงื่อนไข
แต่เมื่อถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี กลับพยายามใช้การยุบสภาเป็นเครื่องมือปิดทางคู่แข่งโดยอ้างเรื่องประชาธิปไตยบิดเบี้ยว ทั้งที่เป็นเงื่อนไขเดียวกับที่เคยไปรับปากไว้ ก่อนมีข่าวพระราชกฤษฎีกายุบสภาถูกตีกลับ แต่ก็ยังดิ้นรนยื่นข้อเสนอสุดท้ายให้เลือกนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วจะยุบสภาทันทีโดยไม่ต้องรอ 4 เดือน
ความวิปริตทางการเมืองที่เกิดขึ้นนี้ ยิ่งตอกย้ำให้ประชาชนสิ้นศรัทธา และ เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจพรรคการเมืองไหนทั้งสิ้น เนื่องจากแต่ละพรรคนั้นได้ถูกประจานต่อหน้าสังคมอย่างหมดจดแล้วว่า ในเกมต่อรองอำนาจของพวกเขานั้นมีแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น โดยไม่มีใครหน้าไหนมองเห็นหัวประชาชน และคำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศอย่างแท้จริงเลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี