วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
- บันทึกประจักษ์พยานแห่งพระมหากรุณาธิคุณในห้วงวิกฤต
I. บทนำ: น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและวาระแห่งความสูญเสีย
การรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
เป็นช่วงเวลาที่ชาวไทยต่างทบทวนถึงพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่
และพระมหาเมตตาต่อประเทศชาติและประชาชนตลอดพระชนม์ชีพ
บันทึกนี้คือการจารึกประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์จากผู้ที่มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิด
ในช่วงวิกฤตการณ์สำคัญของชาติ
เพื่อสะท้อนความจริงอันลึกซึ้งเกี่ยวกับ
พระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อความปลอดภัยและความสงบสุขของประชาชน
ผู้เขียนเป็น นิสิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ รุ่นปี 2510
เป็นนายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สจม.)ในปี 2514
ข้อเขียนนี้มุ่งเน้นการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับเยาวชนไทย
ผ่านแกนหลักสองประการ:
1. ความผูกพันทางวัฒนธรรมและสติปัญญาในช่วง “วันทรงดนตรี” ในหอประชุมจุฬาฯ (พ.ศ. 2510 – 2515)
2. การเผยให้เห็นถึงความห่วงใยและพระมหาเมตตาในยามวิกฤตการณ์14 ตุลาคม 2516
II.วัยเยาว์ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร: ยุคแห่งการทรงดนตรี (พ.ศ. 2510-2515 )
กิจกรรม “วันทรงดนตรี” ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2501 ถึง 2516
เป็นรากฐานสำคัญที่สร้างความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างรัชกาลที่ 9 กับนิสิตนักศึกษา
ซึ่งเป็นปัญญาชนชั้นนำของประเทศในยุคนั้น
การสร้างบรรยากาศแห่งความใกล้ชิดผ่านเสียงดนตรี
การเสด็จฯ ทรงดนตรี
มิใช่เพียงการแสดงพระอัจฉริยภาพทางดนตรีผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์อันไพเราะเท่านั้น
แต่ยังเป็นโอกาสอันหาได้ยากที่พระองค์จะทรงมีพระราชดำรัส พระราชทานข้อคิดเห็น
และทรงสนทนากับนิสิตในบรรยากาศที่เป็นกันเองและสนุกสนานอย่างยิ่ง
นัยเชิงสังคมและการเมืองของวันทรงดนตรี
ในบริบทที่ประเทศไทยในช่วงนั้น
อยู่ในยุคสมัยของจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร (ทศวรรษ 2500 ถึง 2510) การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเลือกใช้หอประชุมจุฬาฯ
เป็นสถานที่สื่อสารกับเยาวชนปัญญาชน จึงมีความหมายเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง
การทรงดนตรีทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความชอบธรรมอย่างอ่อน (Soft Power)
และสร้างความไว้วางใจโดยตรง (Trust-Building)
ในช่วงที่ช่องทางการสื่อสารทางการเมืองปกติถูกปิดกั้น
กิจกรรมนี้ช่วยบ่มเพาะ การปฏิสัมพันธ์ที่ตรงไปตรงมาและเป็นกันเองนี้
ได้สร้างความเคารพและความเข้าใจในบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในหมู่ผู้นำเยาวชน
ซึ่งต่อมาความไว้วางใจพื้นฐานนี้เอง
เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้นิสิตนักศึกษาจำนวนมากส่วนหนึ่งตัดสินใจหลบภัย
เข้าสู่เขตพระราชฐานสวนจิตรลดาเมื่อเกิดวิกฤตในปี 2516
III. สังคมการเมืองก่อนวันมหาวิปโยค: บริบทแห่งความขัดแย้ง (พ.ศ. 2515 – ตุลาคม 2516)
ปัจจัยที่จุดชนวนความไม่พอใจ
ความไม่พอใจของสาธารณชนต่อรัฐบาลทหารสะสมตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากปัญหาการขาดซึ่งรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย
การฉ้อราษฎร์บังหลวง และความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ
จุดแตกหักที่ทำให้รัฐบาลทหารสูญเสียความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง
คือการที่ จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหารตนเองในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514
ยกเลิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ความหวังในการกลับคืนสู่ระบอบรัฐสภาสิ้นสุดลงชั่วคราว
การนำไปสู่จุดแตกหักและวิกฤต
ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ได้เคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูประชาธิปไตย การจับกุมนักศึกษาและปัญญาชนรวม 13 คน ฐานเรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่ และตั้งข้อหาหนักถึงขั้น “กบฏ” เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2516
เป็นจุดกระตุ้นให้เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ของประชาชน นิสิต นักศึกษา
จากหลักพันไปสู่หลักแสนคน เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา
ในเช้าของวันที่ 14 ตุลาคม แม้จะมีความพยายามในการเจรจา
แต่สถานการณ์กลับพลิกผันอย่างรุนแรง
เมื่อมีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังและยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมบริเวณหน้าสวนจิตรลดา
การกระทำดังกล่าวของฝ่ายรัฐบาลได้เปลี่ยนจากการประท้วงทางการเมืองไปสู่ “วันมหาวิปโยค”
และความรุนแรงอย่างหนัก
ความจำเป็นในการมีผู้ไกล่เกลี่ยและผู้คุ้มครองจึงเกิดขึ้น
ซึ่งเป็นภูมิหลังสำคัญที่ทำให้บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์
ในฐานะผู้ปกป้องความปลอดภัยของพสกนิกรจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด
IV. 14 ตุลาคม 2516: ห้วงยามแห่งความรุนแรงและการลี้ภัยสู่สวนจิตรลดา
วันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นวันที่ความขัดแย้งทางการเมืองได้ปะทุขึ้น
เป็นความรุนแรงทางกายภาพ
การปราบปรามผู้ประท้วงบริเวณถนนราชดำเนินเป็นไปอย่างรุนแรง
ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน
ในห้วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้เอง
สวนจิตรลดาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “พระบรมโพธิสมภาร”
และที่พึ่งสุดท้ายของนิสิตนักศึกษาประชาชนจำนวนมาก
พระราชฐานในฐานะพื้นที่คุ้มภัย
เมื่อความรุนแรงเกิดขึ้นและมีคำสั่งให้ตำรวจใช้กำลังปราบปราม
ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้ทยอยหลบภัยเข้าไปในเขตพระราชฐานสวนจิตรลดา
เพื่อหาความปลอดภัยจากการปราบปรามของรัฐบาลทหาร
การตัดสินใจเปิดประตูพระราชวังเพื่อรับผู้ลี้ภัย
นับเป็นการกระทำเชิงมนุษยธรรมและการเมืองที่สำคัญยิ่งยวดในวันนั้น
เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ได้แยกตัวออกจากความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำ
และยืนหยัดอยู่ข้างความปลอดภัยของประชาชน
ชัยวัฒน์ สุรวิชัย

'เทพไท'ติงฝ่ายค้าน เกี่ยงซักฟอกรัฐบาลอนุทิน ชี้ 2 พรรคไม่กล้าแตะ 3 ปมร้อน กลัวถูกชิง'ยุบสภา'ตัดหน้า
'เนเน่' เล่าเหตุระทึก 'อภิสิทธิ์' นั่งเคลียร์นิสิตจุฬาฯ ชูป้ายประท้วงสลายชุมนุน 53
สะเทือนขวัญ! คนร้ายใช้มีดไล่แทงคนบนรถไฟในอังกฤษ บาดเจ็บสาหัสนับ10ราย
'คนละครึ่ง'กระตุ้น'ชีวิต'รากหญ้า! 'นักเขียนดัง'เผยแม่ค้ายิ้มระรื่น ดีกว่าเงิน 10,000 บาท
เช้านี้คนกรุงอ่วม! น้ำท่วมขังถนนหลายสายทำจราจรเป็นอัมพาต ชาวเน็ตแห่แชร์สนั่นโซเชียล

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี