วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568
- บันทึกประจักษ์พยานแห่งพระมหากรุณาธิคุณในห้วงวิกฤต
I. บทนำ: น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและวาระแห่งความสูญเสีย
การรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
เป็นช่วงเวลาที่ชาวไทยต่างทบทวนถึงพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่
และพระมหาเมตตาต่อประเทศชาติและประชาชนตลอดพระชนม์ชีพ
บันทึกนี้คือการจารึกประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์จากผู้ที่มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิด
ในช่วงวิกฤตการณ์สำคัญของชาติ
เพื่อสะท้อนความจริงอันลึกซึ้งเกี่ยวกับ
พระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อความปลอดภัยและความสงบสุขของประชาชน
ผู้เขียนเป็น นิสิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ รุ่นปี 2510
เป็นนายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สจม.)ในปี 2514
ข้อเขียนนี้มุ่งเน้นการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับเยาวชนไทย
ผ่านแกนหลักสองประการ:
1. ความผูกพันทางวัฒนธรรมและสติปัญญาในช่วง “วันทรงดนตรี” ในหอประชุมจุฬาฯ (พ.ศ. 2510 – 2515)
2. การเผยให้เห็นถึงความห่วงใยและพระมหาเมตตาในยามวิกฤตการณ์14 ตุลาคม 2516
II.วัยเยาว์ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร: ยุคแห่งการทรงดนตรี (พ.ศ. 2510-2515 )
กิจกรรม “วันทรงดนตรี” ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2501 ถึง 2516
เป็นรากฐานสำคัญที่สร้างความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างรัชกาลที่ 9 กับนิสิตนักศึกษา
ซึ่งเป็นปัญญาชนชั้นนำของประเทศในยุคนั้น
การสร้างบรรยากาศแห่งความใกล้ชิดผ่านเสียงดนตรี
การเสด็จฯ ทรงดนตรี
มิใช่เพียงการแสดงพระอัจฉริยภาพทางดนตรีผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์อันไพเราะเท่านั้น
แต่ยังเป็นโอกาสอันหาได้ยากที่พระองค์จะทรงมีพระราชดำรัส พระราชทานข้อคิดเห็น
และทรงสนทนากับนิสิตในบรรยากาศที่เป็นกันเองและสนุกสนานอย่างยิ่ง
นัยเชิงสังคมและการเมืองของวันทรงดนตรี
ในบริบทที่ประเทศไทยในช่วงนั้น
อยู่ในยุคสมัยของจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร (ทศวรรษ 2500 ถึง 2510) การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเลือกใช้หอประชุมจุฬาฯ
เป็นสถานที่สื่อสารกับเยาวชนปัญญาชน จึงมีความหมายเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง
การทรงดนตรีทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความชอบธรรมอย่างอ่อน (Soft Power)
และสร้างความไว้วางใจโดยตรง (Trust-Building)
ในช่วงที่ช่องทางการสื่อสารทางการเมืองปกติถูกปิดกั้น
กิจกรรมนี้ช่วยบ่มเพาะ การปฏิสัมพันธ์ที่ตรงไปตรงมาและเป็นกันเองนี้
ได้สร้างความเคารพและความเข้าใจในบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในหมู่ผู้นำเยาวชน
ซึ่งต่อมาความไว้วางใจพื้นฐานนี้เอง
เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้นิสิตนักศึกษาจำนวนมากส่วนหนึ่งตัดสินใจหลบภัย
เข้าสู่เขตพระราชฐานสวนจิตรลดาเมื่อเกิดวิกฤตในปี 2516
III. สังคมการเมืองก่อนวันมหาวิปโยค: บริบทแห่งความขัดแย้ง (พ.ศ. 2515 – ตุลาคม 2516)
ปัจจัยที่จุดชนวนความไม่พอใจ
ความไม่พอใจของสาธารณชนต่อรัฐบาลทหารสะสมตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากปัญหาการขาดซึ่งรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย
การฉ้อราษฎร์บังหลวง และความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ
จุดแตกหักที่ทำให้รัฐบาลทหารสูญเสียความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง
คือการที่ จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหารตนเองในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514
ยกเลิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ความหวังในการกลับคืนสู่ระบอบรัฐสภาสิ้นสุดลงชั่วคราว
การนำไปสู่จุดแตกหักและวิกฤต
ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ได้เคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูประชาธิปไตย การจับกุมนักศึกษาและปัญญาชนรวม 13 คน ฐานเรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่ และตั้งข้อหาหนักถึงขั้น “กบฏ” เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2516
เป็นจุดกระตุ้นให้เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ของประชาชน นิสิต นักศึกษา
จากหลักพันไปสู่หลักแสนคน เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา
ในเช้าของวันที่ 14 ตุลาคม แม้จะมีความพยายามในการเจรจา
แต่สถานการณ์กลับพลิกผันอย่างรุนแรง
เมื่อมีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังและยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมบริเวณหน้าสวนจิตรลดา
การกระทำดังกล่าวของฝ่ายรัฐบาลได้เปลี่ยนจากการประท้วงทางการเมืองไปสู่ “วันมหาวิปโยค”
และความรุนแรงอย่างหนัก
ความจำเป็นในการมีผู้ไกล่เกลี่ยและผู้คุ้มครองจึงเกิดขึ้น
ซึ่งเป็นภูมิหลังสำคัญที่ทำให้บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์
ในฐานะผู้ปกป้องความปลอดภัยของพสกนิกรจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด
IV. 14 ตุลาคม 2516: ห้วงยามแห่งความรุนแรงและการลี้ภัยสู่สวนจิตรลดา
วันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นวันที่ความขัดแย้งทางการเมืองได้ปะทุขึ้น
เป็นความรุนแรงทางกายภาพ
การปราบปรามผู้ประท้วงบริเวณถนนราชดำเนินเป็นไปอย่างรุนแรง
ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน
ในห้วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้เอง
สวนจิตรลดาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “พระบรมโพธิสมภาร”
และที่พึ่งสุดท้ายของนิสิตนักศึกษาประชาชนจำนวนมาก
พระราชฐานในฐานะพื้นที่คุ้มภัย
เมื่อความรุนแรงเกิดขึ้นและมีคำสั่งให้ตำรวจใช้กำลังปราบปราม
ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้ทยอยหลบภัยเข้าไปในเขตพระราชฐานสวนจิตรลดา
เพื่อหาความปลอดภัยจากการปราบปรามของรัฐบาลทหาร
การตัดสินใจเปิดประตูพระราชวังเพื่อรับผู้ลี้ภัย
นับเป็นการกระทำเชิงมนุษยธรรมและการเมืองที่สำคัญยิ่งยวดในวันนั้น
เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ได้แยกตัวออกจากความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำ
และยืนหยัดอยู่ข้างความปลอดภัยของประชาชน
ชัยวัฒน์ สุรวิชัย

อนุทิน เผย ยึดคำถามประชามติของ ครม. ให้กกต.ใช้ เล็งหาเสียงยกเลิกเอ็มโอยู 43-44
สื่อเขมรเปิดคลิประทึก กองทัพไทยส่งF-16 ทิ้งไข่ถล่มกลางเมืองปอยเปต
ในหลวง เสด็จฯ ไปส่ง พระราชินี ไปทรงแข่งเรือใบรอบชิงชนะเลิศ การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33
สมราคาแชมป์!‘ไหม’สุดต้านพ่าย‘เอียล่า’ชิงหวดหญิงเดี่ยว
เปิดใจเมีย'จ่าเริง'นักรบผู้พลีชีพปราสาทตาควายเผยคำพูดสุดท้าย 'ชาตินี้ขอตายในสนามรบ'

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี