สำหรับ ลิเวอร์พูล นาทีนี้กลายเป็นทีมได้รับการชูมือในตลาดฟุตบอลอังกฤษ เป็นที่เรียบร้อย ทิศทางเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ
นับตั้งแต่ก่อนถึงช่วงโรคระบาด จนกระทั่งตอนนี้พวกเขายังเดินหน้าต่อไป หลังจากกลายเป็นทีมแรกที่ได้กำไรทะลุ 100 ล้านปอนด์ทีมแรก เพราะธุรกิจต่างๆ นอกสนาม และทำท่าว่า “จะไปต่อ” หลังจากเส้นทางเห็นได้อย่าง “ชัดเจน”
ตัวอย่างว่าทำไม ลิเวอร์พูล ถึงได้ทำเงินในตลาดกับแฟนบอลได้มาก นั่นก็คือ “ชุดซ้อม”
มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอกับทีมนี้ มันไม่ปกติหรอกที่คุณจะทำให้ “เสื้อซ้อม” เป็นที่นิยมได้ ทำให้กลายเป็นเสื้อที่แฟนบอลชื่นชอบ เพราะเข้าถึงง่ายกว่า
เนื่องจากราคาเบากว่าชุดแข่ง และมีหลากหลายแบบให้ได้สะสม
ลิเวอร์พูล ได้ AXA หรือ แอกซ่า เข้ามาร่วมด้วย จากเดิมเริ่มจากผู้ให้การสนับสนุนหลักที่เป็น “คาดหน้าอกชุดแข่ง” ที่มาติดอยู่ในชุดซ้อม ตั้งแต่ คาร์ลสเบิร์ก และสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด
กระทั่งการเข้ามาของ สายการบินการูด้า อินโดนีเซีย เมื่อซีซั่น 2014-15 จากนั้นก็เป็น “BetVictor” ในซีซั่น 16-17 และจนจบซีซั่นนี้ 2018-19
อันที่จริง AXA ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวลิเวอร์พูล ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา เป็นบริษัทประกันภัยสัญชาติฝรั่งเศส ถือเป็นเจ้าแรกของสโมสรที่เป็น “Global insurance partner”
การคาดหน้าอกครั้งนั้นสืบเนื่องมาจนถึงวันนี้ ประกอบด้วย เสื้อฝึกซ้อม, กางเกงวอร์ม, แจ๊กเกต, เสื้อโปโล และเสื้อแขนกุด ก็ขายไปเรื่อยๆ
AXA สำหรับบ้านเราก็คือ “กรุงไทย-แอกซ่า” นั่นเอง
เป็นอีกก้าวเรื่องนอกสนามที่ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จ
.....เรื่องเสื้อบอลกลายเป็นเรื่องที่พูดคุยกันไปต่างๆ นานา และมีการเลิกคิ้วกันว่า ผู้ให้การสนับสนุนหลักบนหน้าอกเสื้ออย่าง “สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด” จะต่อสัญญาต่อไปหรือเปล่า เพราะกำลังจะหมดลงไปซัมเมอร์ 2023
เอาเข้าจริงถ้า สแตนดาร์ดฯ ปล่อยไปก็ถือว่า พลาดมากๆ
สุดท้ายดีลจบไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ด้วยสนนราคาตามที่เปิดเผยหน้าสื่อคือ 50 ล้านปอนด์ต่อปี รวมสัญญาใหม่ 4 ปี รับเงินไป 200 ล้านปอนด์
เป็นการเดินทางกันต่อไปด้วยกัน จนหมดสัญญาจะเท่ากับว่า หงส์แดง จะจุมพิตธุรกิจกับธนาคารแห่งนี้ รวม 17 ปีด้วยกัน
ว่ากันถึง “ชุดแข่ง” นำทุกท่านย้อนกลับไปในยุคที่ฟุตบอลยังไม่ใช่ธุรกิจที่จะทำเงินมากมายเท่าไหร่นัก
ฤดูกาล 1973-74 “หงส์แดง” กำลังตะแคงฟ้า ยุคของ ปรามาจารย์ “บิลล์ แชงคลี่ย์” ที่เริ่มประกาศศักดาทั้งในและนอกประเทศ ทีมได้ “อัมโบร(UMBRO)” คือ เจ้าแรกที่เข้ามาเซ็นสัญญาผลิตชุดแข่งให้กับสโมสร
ปีแรกที่มี “คนมาจ่ายเงินทำเสื้อ” หงส์แดงของ แชงคลี่ย์เดินหน้าคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ที่เวมบลีย์ เอ็มไพร์พูล ด้วยการขยี้“สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด แหลกคาแข้ง 3-0 จากการยิงสองประตูของ เควิน คีแกน และอีกหนึ่งเมล็ดจาก สตีฟ ไฮจ์เวย์
ในยุคสมัยที่ถ้วยเอฟเอ คัพ เป็นใหญ่ แถมยังมีการถ่ายทอดสดหนนั้น ส่งผลให้เสื้อทีมขายได้ดีเป็นเทน้ำเทท่า แน่นอนว่า ได้เงินจากผู้ผลิตเพิ่มขึ้นตามมูลค่าทางการตลาด
มาถึงปี 1979 “หงส์แดง” ซึ่งเป็น “ทีมแรก” ที่มี “สปอนเซอร์ทำเสื้อ” มาให้ใส่แล้ว กลายเป็น “ทีมแรก” ที่มี “สปอนเซอร์คาดหน้าอก”
สโมสรทำสัญญากับ “ฮิตาชิ(HITACHI)” ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติซามูไร เป็นเวลานาน 4 ปี
บันทึกประวัติศาสตร์เกิดขึ้นทันที บวกลบจนถึงวันนี้ 43 ปีแล้ว
ข้อแม้ในตอนนั้นก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการถ่ายทอดสด ห้ามใส่เสื้อที่มี คาดหน้าอกลงแข่งขัน
อันที่จริง คำว่า “ทีมแรก” มันอาจจะไม่ใช่ ลิเวอร์พูล ที่เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับสปอนเซอร์คาดหน้าอก แต่จะเป็น “ไอ้หัวแกะ” ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ที่ทำสัญญากับ “SAAB” บริษัทรถชื่อดัง
แต่ก็ไม่เคยได้ใส่ลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการ
ดังนั้นบันทึกนี้อันดับ 1 จึงเป็นของ ลิเวอร์พูล ไปโดยปริยาย
มูลค่าที่ได้รับครานั้นคือ 100,000 ปอนด์ ด้วยสัญญา 2 ปี โดยมี “ทอมโม่” ฟิล ธอมป์สัน ปราการหลังเป็นพรีเซ็นเตอร์
เกมแรกที่ใส่ลงสนามคือ นัดเปิดสนามที่แอนฟิลด์ ปรากฏว่า เสมอกับ โบลตัน 0-0 ซึ่งเป็นนัดแรกที่ทีมยิงประตูไม่ได้ในบอลลีกที่เล่นในแอนฟิลด์ รอบ 15 เดือน!!!!
จากนั้นธุรกิจคาดหน้าอกก็ไหลมาเรื่อย ๆ กระทั่ง อาร์เซนอล เป็นทีมที่ 2 ก็เซ็นสัญญากับผลิตภัณฑ์ของ JVC อีกหนึ่งบริษัทของญี่ปุ่น
เมื่อครบ 4 ปี ลิเวอร์พูล ได้ผู้สนับสนุนคาดหน้าอกรายใหม่ นั่นคือ บริษัทค้าขายเรื่องสีอย่าง “Crown Paints” ในปี 1983 เป็น “เจ้าที่สอง” ในประวัติศาสตร์ที่จับมือกับทีม
ปี 1985 ลิเวอร์พูล เปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้จัดการทีมจาก โจ เฟแกนมาเป็น เคนนี่ ดัลกลิช ทีมก็เปลี่ยนผู้ผลิตเสื้อแข่งขันเช่นกัน โดยเซ็นสัญญากับ “อาดิดาส(ADIDAS)” ขาใหญ่จากเยอรมนี
ตอนนั้นกลายเป็นยุคแรกที่ ลิเวอร์พูล มีการเปลี่ยนชุดแข่งขันทุกปี นับตั้งแต่ซีซั่น 1985-86, 1986-87 และ1987-88
จากนั้นในซีซั่น 1988-89 ก็เปลี่ยนสปอนเซอร์คาดหน้าอกเป็น “รายที่ 3” ของสโมสร นั่นคือ “Candy”
Candy ที่ว่านี้ไม่ใช่ลูกอม....แต่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติอิตาเลียน จากเมืองมิลาน
พวกเขาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ถึง 5 ซีซั่น ตั้งแต่ปี 1988-1992 เริ่มต้นคาดหน้าอกนัดแรกก็คือเกมแชริตี้ ชิลด์ ที่เวมบลีย์ ในเกมฝนแปดแดดสี่ ที่ “หงส์แดง” ลบแค้น “จอมโหด” วิมเบิลดัน 2-1
Candy อยู่กับทีมในช่วงเวลาสำคัญมากมายทั้งเหตุการณ์ฮิลล์สโบโร่ และการเป็นแชมป์ลีกดิวิชั่น 1 เมื่อปี 1990 ซึ่งไม่มีใครคิดเลยว่าจะต้องรอมานานอีกถึง 3 ทศวรรษ และนัดสุดท้ายที่ Candyคาดหน้าอกนั้นก็คือชนะ ซันเดอร์แลนด์ สมัยที่ยังใช้โลโก้ทีมว่าเป็น “เรือรบ” 2-0 ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ปี 1992
........หลังจากเปลี่ยนเสื้อเหย้ามา 5 ซีซั่น ซ้อนๆ ลิเวอร์พูลมาใช้ชุด “ลายไผ่” หรือที่เรียกว่า “ลายขนนก” แต่ผมเรียก “ลายเพชร”ในปี 1990 และใช้ต่อในปี 1991
ทีมก็มาเปลี่ยนชุดเหย้าในปี 1991-92 เป็นยุคที่ แกรมซูเนสส์ เข้ามาคุมทีม
แต่แฟนบอลไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นัก เนื่องจาก อาดิดาส ออกแบบมาตรงกับหลายทีมในยุโรป นั่นคือ เอาลายสามแถบมาพาดที่หัวไหล่ขวา ในตอนนั้นที่เป็นแคมเปญของ อีควิปเมนท์
ในฤดูกาลต่อมา 1992-93 สโมสรได้พันธมิตรและเพื่อนๆ ที่มาคาดหน้าอกรายใหม่เป็น “รายที่ 4” ก็คือ ยาธาตุนักเลงจากประเทศเดนมาร์ก “Carlsberg” เข้ามาคาดหน้าอก เป็นปีที่ทีมฉลองครบรอบ 100 ปีพอดิบพอดี
ทีมก็ใช้อาดิดาส มาจนถึงจบซีซั่น 1995-96
ก่อนมาเซ็นสัญญากับ “รีบอค” ในปี 1996 โดยทำสัญญากันยาว 10 ปี
การทำชุดแข่งกับรีบอคหนนี้ ทีมใช้เสื้อเหย้าชุดละ 2 ปี รวมทั้งสิ้น 5 ชุด แต่ทำชุดพิเศษนั่นคือชุดเตะเฉพาะศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และยูฟ่า คัพ อีก 2 ชุด
ถึงปี 2006 ทีมกลับไปเซ็นสัญญากับ อาดิดาส อีกครั้ง คราวนี้อยู่กันด้วย 6 ปี ทำชุดแข่งขันออกมา 3 ชุด คล้ายกับ รีบอค ที่ใส่ชุดละ 2 ซีซั่น
กระทั่งซัมเมอร์ปี 2010 การเปลี่ยนแปลงบน “หน้าอกเสื้อ” ของลิเวอร์พูล ก็เกิดขึ้น เมื่อ คาร์ลสเบิร์ก ไม่อาจจะต้านทานการร้องขอข้อเสนอใหม่ของทีมได้ และกลายเป็นสปอนเซอร์เจ้าเดียวที่คาดหน้าอกแล้วทีมไม่ได้แชมป์ลีก แม้แต่หนเดียว!!!!
ทำให้เป็น “สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด” ที่หยิบชิ้นปลามันเซ็นสัญญาสำเร็จ
จากราคาเดิม 7.5 ล้านปอนด์ ข่าวว่า ลิเวอร์พูล ขอเพิ่มเป็น 15 ล้านปอนด์ สุดท้ายลงตัวที่เลข 20 ล้านปอนด์ต่อปี
ต้องบอกว่า สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด” (Standard Chartered) ธนาคารยักษ์ใหญ่ซึ่งมีฐานในกรุงลอนดอน ของอังกฤษ “กล้าอย่างมาก” ที่มอบข้อเสนอให้กับ ลิเวอร์พูล ที่ตอนนั้นประสบปัญหาสำคัญในเรื่องทางการเงิน
ที่น่าสนใจก็คคือ “สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด” เคยแข่งกับ “เอออน(AON)” บริษัทประกันภัยในการยื่นเงินขอเป็นสปอนเซอร์หน้าอกเสื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนจะพลาดการเซ็นสัญญากับทีมผีแดง จนตัดสินใจเข้าสนับสนุนลิเวอร์พูลในที่สุด
ธนาคารดังจึงเป็นผู้สนับสนุนคาดหน้าอก “รายที่ 5” ในประวัติศาสตร์
ที่สำคัญก็คือ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 14 กรกฎาคม 2010 ที่เซ็นสัญญาครั้งแรก มาถึงวันนี้ 12 ปีแล้ว
จากนั้นอีก 4 เดือนต่อมา จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ ประธานสโมสรคนใหม่ในสมัยนั้น(ปี 2010) ในช่วงที่กำลังอยู่ในการเจรจาสัญญาใหม่กับ อาดิดาส ที่ทำท่าจะไม่ต่อสัญญาด้วย
ลงท้ายแล้ว เฮนรี่ เลือกไปที่ “วอร์ริเออร์ส” แบรนด์จากบอสตัน พร้อมกับได้เงิน 150 ล้านปอนด์ โดยทำสัญญา 6 ปี ซึ่งตอนนั้นถือว่าแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกเป็นรองแค่ บาร์เซโลน่าเพียงทีเดียว
อยู่กันได้ 3 ปีก็อัปเกรดมาเป็น “นิว บาลานซ์” ซึ่งก็ไม่ใช่อื่นไกล เพราะเป็นบริษัทแม่ของ “วอร์ริเออร์ส” นั่นเอง และสัญญาหมดลงในซีซั่น 2019-20 ที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษพอดี
สุดท้ายก็กลายเป็น “ไนกี้” ที่มาผลิตเสื้อแข่งขัน
ประเด็นก็คือ นับตั้งแต่ปี 2010 มีการเจริญเติบโตเรื่องสปอนเซอร์คาดหน้าอกเสื้อบอลพรีเมียร์ลีก นับกันมาอีก 7 ปี มีเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 181 เปอร์เซ็นต์ จนถึงปี 2020 ครบ 10 ปี ทะลุไปกว่า 200 เปอร์เซ็นต์ ไปเป็นที่เรียบร้อย
ทุกทีมในพรีเมียร์ลีกมีผู้ให้การสนับสนุนจากการ “คาดหน้าอก” และได้รับการอนุมัติจากพรีเมียร์ลีกให้มีโฆษณาที่ “แขนเสื้อ” เพื่อเพิ่มรายได้กับทุกทีมตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา
ถือเป็นธุรกิจที่เติบโตในวงการฟุตบอลมาอย่างยาวนานมากๆ และเป็นเงินที่จุนเจือสโมสรมาตั้งแต่ยังไม่มีพรีเมียร์ลีก อยู่คู่กับบอลอังกฤษมานานถึง 43 ปีแล้ว
โดย ลิเวอร์พูล คือจุดเริ่มต้น..........
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี