โลกใบนี้มีการเรียนรู้อยู่ด้วยกัน 2 ประเภท …
ประเภทแรก คือ การเรียนรู้จากคนอื่น ทั้งจากหนังสือ ห้องเรียนห้องสัมมนา และการได้พูดคุยกับคนสำเร็จ ซึ่งผมเรียกของผมเองว่า “ความรู้มือสอง”
ความรู้แบบนี้เป็นความรู้ที่คนส่วนใหญ่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เป็นความรู้ที่หาได้ไม่ยาก เพราะมักมีคนใจดีแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ออกมาให้เราได้อ่าน ได้เรียน และได้ฟัง กันอยู่เสมอๆ
ข้อดีของความรู้แบบนี้ก็คือ เป็นความรู้ที่เรานำไปคิดต่อยอด และประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองได้เลย ไม่ต้องลองผิดลองถูกให้เสียเวลา
แต่ก็มีข้อเสียที่ว่า ความรู้มือสองนั้นหลายครั้งเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งอาจเก่าและไม่เหมาะสมที่จะใช้กับทุกสถานการณ์ได้
ที่สำคัญ มันไม่ใช่ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ของเราเอง ซึ่งผมเรียกของผมเอง (อีกแล้ว) ว่า“ความรู้มือหนึ่ง”
ก็เหมือนที่คนเราเรียนรู้วิธีการขี่จักรยานจากแชมป์แข่งจักรยานได้ แต่เราไม่มีทางขี่จักรยานเป็น ถ้าเราไม่ได้ลองขี่ ไม่ได้ลองล้ม ไม่ได้ลองเอาสิ่งที่ได้รับจากการเรียนไปฝึกฝน
ใครก็รู้ว่าขี่จักรยานต้องทรงตัวให้ดี จับแฮนด์ให้ตรง แล้วค่อยๆ ถีบล้อ จักรยานถึงจะวิ่งไปได้ ไม่หกล้ม นั่นคือความรู้มือสอง แต่การกระโดดขึ้นไปนั่งและฝึกทรงตัวบนจักรยาน ในขณะที่เท้าก็ปั่นล้อไปเรื่อยๆ ล้มแล้วก็ลุก ล้มแล้วก็ลองใหม่ นั่นคือการหาความรู้มือหนึ่งที่จะทำให้คุณขี่จักรยานได้จริง
โดยส่วนตัวผมรักและรู้สึกหลงใหลการหาความรู้มือหนึ่งเป็นอย่างมาก เพราะสนุก และได้ทดลองใช้สิ่งที่รู้มาจากหนังสือหรือผู้รู้ มาใช้ทำให้ตัวเองดีขึ้น ซึ่งผมเชื่อเสมอว่านี่แหละ คือ การเรียนรู้ที่แท้จริง
ทุกครั้งที่ได้ “ลงมือ” ผมมักพบเสมอว่า มันมีอะไรมากกว่าสิ่งที่ได้อ่าน ได้ยิน และได้ฟังคนอื่นอีกมากมาย และถ้าไม่ลองทำ ก็จะไม่มีวันรู้ ไม่มีวันเข้าใจ
ก็เหมือนที่คนส่วนใหญ่รู้ว่า การออมเป็นเรื่องดี … แต่ถ้าไม่หัดลองฝึกนิสัยให้ออมเงินได้จริงๆ คุณก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า การออมให้อะไรมากกว่าสตางค์ที่เพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจพอเพียง (พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน) … ท่องกันเสียจนดูฉลาด แต่ถ้าขลาดที่จะเริ่มคิดเริ่มทำตามแนวพระราชดำรัสในหลวง คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า นี่คือ หลักคิดที่สำคัญต่อชีวิตมากแค่ไหน
ศึกษาวิธีการลงทุนกันแทบตาย … สุดท้ายถ้าไม่ได้ฝึกลงทุนจริงๆ คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า สิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนไม่ใช่ความรู้เรื่องการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีรายละเอียดยิบย่อยที่เราจะได้รับก็ต่อเมื่อลงมือทำจริง จนเกิดเป็นประสบการณ์การลงทุนของตัวเอง
ไม่งั้นคนอ่านหนังสือลงทุนเล่มเดียวกัน เรียนคอร์สเดียวกัน ก็รวยเหมือนกันหมดแล้วสิ จริงมั้ย?
คนเรียนหุ้นมาเยอะ อ่านหนังสือมาแยะ พอลงสนามจริงแล้ว มีหลายคนที่ตกม้าตายด้วยจิตวิทยาการลงทุนของตัวเอง โดนไปครั้งสองครั้งก็เลิกเสียแล้ว แล้วก็บอกว่าหุ้นไม่ดี หุ้นเสี่ยง ทั้งที่หากลงมือทำต่อไป เรียนรู้ต่อเนื่อง และพัฒนาตัวเองจากความผิดพลาดที่ได้รับ อันนี้แหละที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ทางบวกได้จริง ซึ่งก็ต้องอาศัยความรู้มือหนึ่งที่มากพอ ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้มือสอง
ไม่ได้บอกว่าความรู้มือสองนั้นไม่สำคัญ แค่อยากบอกว่า การอ่าน การเข้าห้องเรียน เข้าห้องสัมมนา เป็นเพียงการจุดประกายให้ “อยากรู้” และปูพื้นฐานในเรื่องที่เราสนใจให้เท่านั้น
แต่ความรู้ และการเรียนรู้ที่แท้จริง ที่เป็นของคุณเอง และติดตัวคุณไปตลอดไม่มีวันลืม จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อคุณหยิบ ขยับ จับ ทำ ในสิ่งที่คุณได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน และได้คุยมา
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จ คุณอาจเริ่มต้นสะสมและเรียนรู้จากความรู้มือสองก่อน จากนั้นก็ค่อยเอาความรู้มือสองมาประยุกต์ มาลองทำ มาลองพัฒนา เก็บ LEVEL และค่อยๆ ต่อยอดจนมันเป็นความรู้มือหนึ่งของตัวเอง และถ้ามีโอกาส ก็ให้เผยแพร่ความรู้มือหนึ่งของตัวเองออกไป เพื่อให้เราได้เรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นไปอีก นั้นคือ ระดับของ “ผู้ให้” ซึ่งจะยิ่งพัฒนาเราให้เก่งขึ้นได้อยากก้าวกระโดดเลยทีเดียว
“คนเก่งเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น” ก็จริง
แต่น่าเสียดาย ที่คน “ฉลาด” หลายคนไม่ประสบความสำเร็จ เพราะพวกเขา “เก่ง” ไม่พอ 555
สะสมความรู้มือสองกันแล้ว อย่าลืมนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นความรู้มือหนึ่งของตัวเองกันนะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี