ผายลมสะบัดก้นหนีไปยังมิทางหายเหม็น!!
โคตรเหง้าเหล่ากอชาติชั่วที่โกงชาติโกงแผ่นดินก็เออกลายทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ขายชาติชี้โพรงให้กระรอกต่างชาติได้ย่ำยีประเทศไทยระลอกใหม่ทันที
ผมเริ่มเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่ “คุณสมชัย กตัญญุตานนท์ หรือ ชัย ราชวัตร” การ์ตูนนิสต์การเมืองชื่อดังในนาม”ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน”โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คด้วยประโยดนี้ไว้เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2556 “โปรดเข้าใจ กะหรี่ แค่หญิงเร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเร่ขายชาติ” ภายหลังจากที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”เดินทางกลับจากการไปแสดงปาฐกถาอัปยศที่มองโกเลียพูดช่วยเหลือพี่ชายที่เป็นผู้ต้องหาเป็นโจรที่ทุจริตต่อหน้าที่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองเพื่อหวังว่าจะเป็นข้ออ้างสากลที่จะให้พี่ชายหลบหนีลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศได้อย่างสบายและไม่ต้องโดนจับกุมส่งตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทยเฉกเช่นเดียวกับที่โจรหน้าเหลี่ยม “ทักษิณ” ที่ชักนำและบงการให้ญาติพี่น้องและพรรคพวกโกงชาติบ้านเมืองสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศชาติอกมาแผ้วถางทางให้น้องสาวหน้าโง่”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ได้มีที่ยืนบนโลกนี้ด้วยการโยนบาปให้กระบวนการยุติธรรมไทยสมคบกับ”เผด็จการผู้มีอำนาจในการควบคุมดูแลบริหารประเทศ โดยยกคำกล่าวของ “มงแต็สกีเยอ เคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีความเลวร้ายใด ที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือในนามของกระบวนการยุติธรรม” เพื่อให้ชาวโลกได้ประณามกระบวนการยุติธรรมไทยว่าไม่มีความเป็นกลางไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ทั้งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
ข้อเท็จจริงของการนำอีโง่”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เกิดขึ้นภายหลังจากที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นำข้อเท็จจริงของการดำเนินนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลนั้นเกิดการทุจริตอย่างมโหฬารจนทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ และมีการนำเรื่องนี้เข้าให้คณะกรรมการปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงราชการ(ป.ป.ช.)ได้พิจารณากลั่นกรองนำตัวคนผิดมาลงโทษ ก่อนที่ประชุมป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว พร้อมส่งเรื่องให้สมาชิกวุฒิสภาถอดถอนออกจากตำแหน่ง เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค.2557
หลังจากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ประกาศพิสูจน์ความจริง ประกาศชัดเจนว่าจะไม่หนีข้อกล่าวหานี้ และพิสูจน์ความจริงว่า โครงการรับจำนำข้าวนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหานแก่รัฐ แถมยังคุโณปการทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้เพิ่มมากขึ้นกินดีอยู่ดี เป็นการยกฐานะของเกษตรอย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนดำเนินการมาก่อน
“ยิ่งลักษณ์”ประกาศว่า “จะไม่ทิ้งพี่น้องประชาชนคนไทย และพร้อมจะต่อสู้คดีในชั้นศาล”
ที่สำคัญการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายนั้นเกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศทางการเมือง เมื่อมีประชาชนคนไทยที่ตาสว่างและรับรู้ถึงหายนะของประเทศชาติหากปล่อยให้ “ยิ่งลักษณ์”และพรรคเพื่อไทยบริหารประเทศต่อไปจำนวนหลายล้านคนภายใต้การนำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกลุ่มการเมืองที่เรียกตัวเองว่า กปปส.ออกมาชุมนุมตามท้องถนนขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากพรรคเพื่อไทยที่กุมเสียงข้างมากในสภา ดำเนินการ”ลักหลับประชาชน”ด้วยการผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่ง และการต่อต้านขยายวงมากขึ้นจนนำไปสู่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2558
แน่นอนการดำเนินการทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนการยึดอำนาจของคณะทหารคสช. และหากจะมีผู้มีอำนาจคณะใดคณะหนึ่งสั่งการให้ ป.ป.ช.ลงมติดำเนินคดี “ยิ่งลักษณ์”ก็เป็นรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยที่มีอำนาจสูงสุดเบ็ดเสร็จในขณะนั้น แม้กระทั่งการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่งในเวลา 3 นาฬิกายามวิกาลที่ไม่ใช่เวลาทำงานปกติ
ขณะเดียวกันนายวิชา มหาคุณ 1 ในกรรมการป.ป.ช.ก็ออกมายืนยันว่า การเข้ามาปกครองประเทศของคณะคสช.ที่มี พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.พร้อมผู้นำเหล่าทัพและคณะก็ไม่ได้เข้ามาสั่งการหรือดำเนินการให้ป.ป.ช.ดำเนินการกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรด้วย
ตลอดระยะเวลา 3 ปีของการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย “ยิ่งลักษณ์”เข้าสู่ระบบสู่ขั้นตอนในระบบไต่สวนอย่างเต็มที่ มีการโต้แย้งข้อกล่าวหามีการสืบพยานโจทก์และจำเลยจนแล้วเสร็จจนมีการแถลงปิดคดีทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยจนหมดจนสิ้น รอเพียงคำวินิจฉัยองค์คณะผู้พิพากษาเท่านั้นว่าจะพิพากษาอย่างไร
ไม่มีใครทราบว่าองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน มีความเห็นส่วนตนและความเห็นโดยรวมอย่างไร ยิ่งลักษณ์ จะผิดตามข้อกล่าวหามีการพิจารณาโทษ หรือไม่มีความผิดยกฟ้อง ยุติการดำเนินคดี
แน่นอนครับ!! ไม่มีใครรู้ เพราะ ยิ่งลักษณ์ชิงเอาตัวรอดด้วยการหนีซมซานออกนอกประเทศไปเสียก่อน และศาลก็นัดอ่านคำพิพากษาคดีใหม่ในวันที่ 27 กันยายน 2560ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าฝ่ายความมั่นคงรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีความสามารถในการนำตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษาหรือไม่
ทว่าล่าสุดมีข่าวจากคนสนิทของ”ยิ่งลักษณ์”ว่าที่ต้องหนีเพราะระแคะระคายว่าศาลจะพิพากษาลงโทษหนัก นั่นหมายความว่าเป็นซีกของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเองที่สามารถแทรกแซงจนสามารถล่วงรู้ถึงคำพิพากษาโทษของตนเองได้ อย่างนี้เล่าจะบอกว่าฝ่ายเผด็จการใช้อำนาจแทรกแซงให้เอาผิด”ยิ่งลักษณ์”จะถูกหรือ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นแก่บัณฑิตที่จบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฏาคม 2522ความตอนหนึ่งว่า “...คนที่ไม่มีความสุจริต คนที่ไม่มีความ มั่นคง ชอบแต่มักง่ายไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ..."
สังคมไทยก็ไม่ควรลืมคำกล่าวของเซอร์ วิลเลี่ยม ดรัมมอนด์ ผู้ว่าการนิคมของอังกฤษ ที่ว่า “คนไม่ยอมใช้เหตุผลเป็นคนดังทุรัง คนไม่สามารถใช้เหตุผลเป็นคนโง่ และคนไม่กล้าใช้เหตุผลเป็นทาส”
ผมเคยเขียนถึงสาแหรกของโจรหน้าเหลี่ยม”ทักษิณ ชินวัตร”ในคอลัมน์ไม้หน้าสาม หนังสือพิมพ์แนวหน้าและในคอลัมน์ไม้หน้าสามในคอลัมน์ออนไลน์เวปไซด์นสพ.แนวหน้า “WWW.naewna.com เมื่อราวปลายปี 2557
วันนี้จะตอกย้ำให้ทราบอีกครั้ง เพื่อให้ทราบว่า ทำไมพี่น้องสองศรี “ทักษิณและยิ่งลักษณ์” ถึงจงใจประณามและไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมประเทศไทย
ต้นตระกูล “ชินวัตร" นั้นเริ่มต้นจาก “นายเส็ง แซ่คู" ที่เหมือนคนจีนทั่วไปในสมัยนั้น ที่ทิ้งถิ่นฐานเดิมอพยพจากสาธารณรัฐประชาชนมาอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารบนแผ่นดินไทยเมื่อประมาณปี พ.ศ.2403 โดยมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่จังหวัด จันทบุรี ทำหน้าที่เป็น “นายอากรบ่อนเบี้ย”สร้างฐานะให้ครอบครัว ซึ่งบ่อนเบี้ยก็คือ การเล่นกำตัด กำถั่วหรือกำถั่วโปและไพ่งา เป็นต้น
ต่อมา ง่วนเส็ง แซ่คู เป็นบุตรนายเช้าหรือ (ชาวจีน) ที่เป็น “หัวหน้าอั้งยี่ “คณะงี่เฮ็ง”บ้านบางกะจะ อำเภอพลอยแหวน เมืองจันทบุรี”ในยุคที่ถูกฝรั่งยึดครองเป็นหลักประกันให้สยามจ่ายค่าตอบแทนกรณี รศ.112 ต่อมาถูกทางการจับกุมขังคุกที่จังหวัดตราด โดยผู้พิพากษาคดีนี้คือ "หลวงวิพิธพจนาการ(แจ่ม สูตะบุตร์)"
กระทั่งนายง่วนเส็ง พ้นโทษและย้ายกลับมาอยู่ที่ จว.จันทบุรี เมื่อทราบว่าหลวงวิพิธฯ อดีตผู้พิพากษาที่ทำตัดสินให้ตนเองติดคุกมาประจำตำแหน่งที่จันทบุรี จึงได้ส่งคนไปลอบทำร้ายหลวงวิพิธฯเพื่อเป็นการแก้แค้น ซึ่งต่อมานายง่วนเส็งฯก็ถูกจับกุมอีกครั้ง และถูกพิพากษาตัดสินให้จำคุกอีกครั้ง โดยคราวนี้ส่งตัวเข้ามาคุมขังใน กรุงเทพมหานคร
เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ปรากฏหลักฐานใน “จดหมายเหตุความทรงจำสมัยฝรั่งเศสยึดจันทบุรี ตั้งแต่พ.ศ.2436-2447” เขียนโดย หลวงสาครคชเขต (ประทวน สาคริกานนท์)”ว่า
“นายง่วนเส็ง" เป็นพ่อ "นายชุนเชียง" ซึ่งอพยพมาจาก จว.จันทบุรี แล้วไปตั้งถิ่นฐานที่ จว.เชียงใหม่ แล้วเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลเป็น "นายบุญเลิศ ชินวัตร" ซึ่งนายบุญเลิศก็คือพ่อของ “ทักษิณ ชินวัต” คิดเองก็แล้วกัน ตระกูลนี้ทำอะไรให้แผ่นดินไทยบ้าง
เชื้อไม่ทิ้งแถว แนวไม่ทิ้งตระกูล
หรือจะเรียกง่ายๆว่า “เชื้อชั่วไม่เคยตาย”
เรื่องนี้ยังไม่ตลกไม่น่าสนใจเท่ากับเรื่องที่ว่า หลวงวิพิธพจนการ (แจ่ม สูตะบุตร) ผู้เป็นคุณตาของ พ.ญ.สดใส เวชชาชีวะ (สกุลเดิม สูตะบุตร) มารดาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่นเอง
หลวงสาครคชเขต เขียนไว้ว่า เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปตั้งอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีระหว่างพ.ศ.2438-2439 (ร.ศ.114-115) ก็เกิดมี “สมาคมอั้งยี่”ขึ้น 2 คณะ คณะหนึ่งใช้สมนามสมญาว่า “งี่ฮก” สำนักตั้งอยู่ที่ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมืองจันทบุรีแห่งหนึ่งมี “นายอำภณ วิเศษประสิทธิ์” บุตรพระประสิทธิ์พลรักษ์ กรมการพิเศษเป็นหัวหน้า (หลวงสาครฯคงจะใส่นามสกุลที่เกิดขึ้นภายหลังเข้าในบันทึกไปเลยไม่ได้ใช้เฉพาะชื่อตนตามยุคสมัย อีกทั้งชื่อจังหวัดก็เรียกแบบยุคหลังไม่ได้เรียกว่าเมืองจันทบุรีอันเป็นเชื่อก่อนตั้งมณฑลเทศาภิบาล—บัณรส) อีกคณะหนึ่งมีนามสมญาว่า “งี่เฮ็ง” สำนักงานตั้งอยู่ที่ตำบลบางกะจะ อำเภอพลอยแหวน จังหวัดจันทบุรีแห่งหนึ่ง มีนายง่วนเส็ง บุตรนายเช้า (ชาติจีน) เป็นหัวหน้าสมาคมอั้งยี่
ทั้งสองคณะนี้ไม่มีความสามัคคีปรองดองกัน ต่างหมู่ต่างคณะได้ถืออำนาจในพวกเหล่าของตนคุมสมัครพรรคพวกทำร้ายซึ่งกันและกันอยู่เป็นเนื่องนิตย์บรรดาประชาชนคนใดไม่เข้าในคณะใดพวกอั้งยี่ก็เที่ยวกรรโชกขู่เข็ญทำร้ายประชาชนพลเมืองโดยพลการอยู่เนืองๆ บางครั้งคุมสมัครพรรคพวกเที่ยวปล้นแย่งชิงทรัพย์สินพลเมืองก็มี นอกจากนี้ความยังปรากฏว่าบรรดาพวกพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในท้องที่อำเภอพลอยแหวนซึ่งเคยน้ำสินค้ามาจำหน่ายขายให้แก่พลเมืองทางท้องที่อำเภอเมืองแล้ว พวกคณะอั้งยี่ทางฝ่ายคณะงี่เฮ็งก็ประกาศห้ามปราม
และความเดือดร้อนทั้งนี้ไม่ได้มีแต่พลเมืองฝ่ายเดียวเลยพลอยทำให้กองทหารฝรั่งเศสก็มีส่วนได้รับความเดือดร้อนด้วยเหมือนกัน กล่าวคือกองทหารฝรั่งเศสก็ต้องอาศัยสินค้าจากพ่อค้าแม่ค้าทางเขตอำเภอพลอยแหวนเหมือนกันเมื่อความเดือดร้อนของพลเมืองตลอดจนกองทหารฝรั่งเศสไม่ได้รับความสะดวกเช่นนี้แล้ว
ก็มาขอร้องให้ทางบ้านเมืองจัดการปราบปรามแต่เวลานั้นทางฝ่ายบ้านเมืองก็ไม่มีกำลังพาหนะ ตำรวจหรือพลตระเวนอย่างใดที่จะทำการระงับปราบปรามอั้งยี่ให้เป็นที่เรียบร้อยได้ จึงนับว่ายุคนั้นที่จันทบุรีแม้แต่ตามถนนตลาดประชาชนพลเมืองก็มีความหวาดเกรงภัยของคณะอั้งยี่อยู่ถ้วนหน้า
ทางฝ่ายบ้านเมืองจึงได้ปรึกษาทำความตกลงกับกองทหารฝรั่งเศสผลที่สุดฝ่ายกองทหารฝรั่งเศสจัดกำลังทหารฝรั่งเศสมอบให้แก่ทางบ้านเมืองทำการปราบปรามจับกุมอั้งยี่ทั้งสองคณะนี้โดยความร่วมมือกับพนักงานฝ่ายบ้านเมืองออกเที่ยวสืบจับตามตำบลต่างๆ มีตำบลบางกะจะ ตำบลวัดใหม่และที่แห่งอื่นๆ เป็นต้น เจ้าพนักงานฝ่ายไทยที่ควบคุมทหารฝรั่งเศสและพลเมืองออกไปสืบจับพวกอั้งยี่นั้นคือท่านพระยาเดชานุชิตเป็นหัวหน้า หลวงพรหมเสนากับหลวงศรีรองเมืองเป็นผู้ช่วยทำการจับกุมอั้งยี่ทั้งสองคณะได้พรรคพวกและหัวหน้าสำคัญหลายคนมีนายอำภณและนายง่วนเส็งเป็นต้น แล้วจัดการนำตัวส่งไปกรุงเทพฯ ต่อมาปรากฏว่าหัวหน้ากับพรรคพวกถูกรับพระราชอาญาจองจำกักขังไว้หลายๆ ปี ตั้งแต่นั้นมาสมาคมอั้งยี่ก็แตกหมู่แตกคณะควบคุมกันไม่ติดและไม่มีสมาคมใดที่คิดตั้งคณะอั้งยี่ขึ้นมาอีก นับว่าเหตุการณ์เรื่องอั้งยี่เป็นปกติเรียบร้อยมาจนบัดนี้
นอกจากความเรื่องอั้งยี่ที่กล่าวไปแล้วบันทึกจดหมายเหตุของหลวงสาครคชเขต หน้า 203 ยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จีน ง่วนเส็ง ไปทำร้ายร่างกายผู้พิพากษาบาดเจ็บ โดยเหตุการณ์ตอนนี้เป็นช่วงที่ฝรั่งเศสมอบเมืองจันทบุรีคืนแก่สยามในพ.ศ.2447 หลังจากยึดไว้นานถึง 11 ปีแต่ก็ยังไม่ไปไหนกำลังทหารที่ถอนจากจันทบุรีก็ไปยึดเมืองตราดไว้ต่อ ฝรั่งเศสยึดเมืองตราดนาน 3 ปีจนที่สุดสยามต้องแลกตราดและเกาะกูด กลับคืนมาโดยตัดเฉือนที่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงด้านตรงข้ามหลวงพระบางอันเป็นแขวงไชยะบุรีในปัจจุบันรวมทั้งเสียมราฐ ศรีโสภณ พระตะบองในเขมรให้ไป
เหตุการณ์ตอนที่ฝรั่งย้ายไปยึดเมืองตราดจึงมีข้าราชการไทยที่โยกย้ายกลับมา บ้างก็สมัครใจอยู่ที่เดิมหลวงสาครคชเขตได้กล่าวถึงผู้พิพากษาท่านหนึ่งที่เกี่ยวข้องเป็นคู่กรณีกับจีนง่วนเส็ง ความว่า
“มีข้าราชการบางคนสมัครคงอยู่ในจังหวัดตราดก็มีบ้างดังเช่น “หลวงวิพิธพจนการ” ผู้พิพากษาศาลคนหนึ่งเป็นผู้มีเคหสถานบ้านเรือนแลเรือกสวนไร่นาอยู่มากจะละทิ้งฐานเดิมไปก็รู้สึกเสียดายจึงคงอยู่ที่จังหวัดตราดต่อไปชั่วคราวต่อมาภายหลังหลวงวิพิธพจนการเห็นว่าการอยู่กับฝรั่งเศสจะไม่เป็นผลดีต่อไปแล้วจึงได้อพยพย้ายครอบครัวมาตั้งอยู่ที่บ้านตลาดขวาง จังหวัดจันทบุรี กอปรกับเวลานั้นอำเภอขลุงได้ยกขึ้นเป็นจังหวัดแลขาดตัวผู้พิพากษาอยู่ “พระยานครไภยพิเฉท” ซึ่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาเห็นเป็นโอกาสดีจึงได้ขออนุญาตกระทรวงยุติธรรมให้หลวงวิพิธฯเป็นผู้พิพากษาศาลเมืองขลุงบุรีตั้งแต่นั้นมา
ระหว่างที่หลวงวิพิธฯ พักอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีก่อนยังไม่ได้รับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลเมืองขลุงนั้น ได้ถูกนายง่วนเส็ง (เชิงอรรถของหลวงสาครระบุว่า คือคนๆเดียวกันกับที่ปรากฏเรื่องอั้งยี่) หัวหน้าอั้งยี่คณะงี่เฮ็ง ให้พรรคพวกทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ ทั้งนี้ปรากฏว่านายง่วนเส็งมีความเจ็บแค้นหลวงวิพิธฯ ตั้งแต่ครั้งเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดตราดก่อนสมัยฝรั่งเศสปกครองได้ตัดสินคดีความจำคุกพวกอั้งยี่คณะของเขา การที่หลวงวิพิธฯ ถูกพรรคพวกนายง่วนเส็งทำร้ายครั้งนั้นผลที่สุดการสืบสวนจับกุมค้นร้ายไม่ได้ทั้งไม่มีหลักฐานอะไรด้วย ตกลงว่าหลวงวิพิธฯถูกทำร้ายเปล่า
เหตุเพราะลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
จึงไม่แปลกที่จะเกิดเหตุนารีหนีคุก
วรพจน์ แสนประเสริฐ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี