คสช. บริหารประเทศมาย่างเข้าปีที่ 4 ใกล้จะต้องมีการเลือกตั้งตามโรดแมปที่ประกาศไว้ประมาณปลายปี 61 แล้ว สัญญาที่จะมีการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจก็ยังไม่ไปถึงไหนนอกจากการตั้งคณะกรรมการไม่รู้กี่คณะต่อกี่คณะแล้ว ล่าสุด คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ 36 คน ที่มีพลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน ดูจะเป็นความหวังของการเปลี่ยนแปลง แต่มาจนถึงขณะนี้ 4 เดือนแล้ว ก็ยังไม่มีความคืบหน้า นอกจาก มีข้อเสนอจะเปิดทางให้อัยการเข้ามาตรวจสอบถ่วงดุลร่วมกับตำรวจในการสอบสวน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อประชาชน ไมได้ปรับระบบโครงสร้างใดๆ
หลังจากที่ต้านกระแสสังคม ที่เรียกร้องให้แยกอำนาจสอบสวนของตำรวจออกมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มักจะสั่งการครอบงำการสอบสวน ทำให้กระบวนการสอบสวนเบี่ยงเบนออกจากความเป็นจริง ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรม เกิดกรณีจับ “แพะ” ขึ้นมากมาย คนที่ไม่ได้ทำผิดแต่ถูกกลั่นแกล้งให้ต้องติดคุกไปแล้วมากมาย ล่าสุดคดีของครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร จังหวัดนครพนม เป็นข่าวฮือฮา ที่ศาลฎีกาได้ตัดสินยกฟ้อง ไปเมื่อเร็วๆ นี้ จากการขอรื้อฟื้นคดี ของครูจอมทรัพย์ เพราะไม่มีหลักฐานใหม่ จนขณะนี้ ก็ยังไม่มีความชัดเจน ใครกันแน่ ที่เป็นคนขับรถชนคนเสียชีวิต เพราะมีขบวนการรับจ้างติดคุก ระบุอยู่ในคำตัดสินของศาลฎีกา
คดีดังกล่าว ชี้ถึงกระบวนการสอบสวนของตำรวจ มีการเบี่ยงเบน ขาดความ
น่าเชื่อถือ ขณะที่ศาลชั้นต้น ลงโทษครูจอมทรัพย์มีความผิด แต่ศาลอุทรณ์กลับยกฟ้องจนมาถึงศาลฎีกาตัดสินกลับคำตัดสินของศาลอุทรณ์ ครูจอมทรัพย์ มีความผิดตามศาลชั้นต้น ตอนนี้ครูจอมทรัพย์ได้รับโทษ ออกจากคุกเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่จะขอกลับเข้ารับราชการได้อีกหรือไม่ ยังเป็นปัญหา
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ชี้ถึงกระบวนงานสอบสวนของตำรวจว่า ไม่มีความแน่นอน ใครเข้าถึงผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจ - มีเงิน ก็สามารถวิ่งเต้น ให้พ้นผิดได้ ...ดร. น้ำแท้ มีบุญสล้าง อัยการจังหวัด สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมาย และการบังคับคดี จังหวัดอุดรธานี และอนุกรรมการปฏิรูปตำรวจ ชุดของพลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ
“ไทยโพสต์” ถึงความคืบหน้าในการปฏิรูปตำรวจ ”ยกเครื่องงานสอบสวน แก้ปัญหาจับแพะ”
ดร.น้ำแท้ ระบุว่า ถ้าไม่ปฏิรูปงานสอบสวน คนชั่วจะลอยนวล คนดีก็จะตกเป็นแพะ “ ก็แบบที่มีคนเปรียบเทียบศาลเหมือนคนตาบอดสองข้าง....อัยการเหมือนคนตาบอดข้างเดียว แต่ผมบอกว่า อัยการไม่ได้แค่ตาบอดข้างเดียว อีกข้างที่ไม่ได้บอดเป็นต้อกระจกด้วย ในแวดวงอัยการ ก็รู้สึกอึดอัดแบบนี้เหมือนกันหมด กระบวนการยุติธรรมในชีวิตจริงเป็นแบบนี้ จะทำอย่างไรให้อัยการได้รู้เห็นพยานหลักฐานก่อน ตั้งแต่ตอนที่เกิดเหตุขึ้น เพราะหากแม้อัยการจะมีหน้าที่ให้ความยุติธรรม แต่ถ้าไม่ได้รู้ - ไม่เห็นอะไรเลย ก็ช่วยอะไรประชาชนไม่ได้..”
นายปรัชญาชัย ดัชถุยาวัตร หัวหน้าข่าวการเมือง นสพ.ไทยโพสต์ หนึ่งในคณะทำงาน กลุ่มโพลิช ว็อช ติดตามการปฏิรูปตำรวจ ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาชน และ บรรณาธิการ รวบรวมจัดพิมพ์ หนังสือโรดแมปปฎิรูปตำรวจ กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวน หมื่นกว่าคน อึดอัดมากใน การทำงาน เพราะถูกบีบคั้น กดดัน จากผู้บังคับบัญชาระดับต่าง ๆ เรียกว่าอยู่ในภาวะตึงเครียด ไม่มีทางออก เป็นภาวะวิกฤต เปรียบเสมือนตกอยู่ในหว่าง “เขาควาย”
“เวลาเกิดคดี แต่ละคนก็วิ่งเต้นไปหาผู้ใหญ่ ให้ช่วย ใครมีอิทธิพล มีเงินก็ไม่ต้องติดคุก เพราะสามารถเบี่ยงเบนคดี ให้ผิดเป็นถูก ได้ สั่งการให้พนักงานสอบสวน ทำสำนวนคดีอย่างไรก็ได้ จึงมีการเรียกร้องจากตำรวจระดับล่าง ให้แยกงานสอบสวนเป็นอิสระจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นแท่งต่างหาก”
“แค่การโอน 11 หน่วยงานของตำรวจ ที่น่าจะให้ไปสังกัดหน่วยงานใหม่ที่มีความเหมาะสมกว่า เหมือนที่ต่างประเทศเขาทำกัน จนบัดนี้ 2 ปีกว่ามาแล้ว ก็ยังไปไม่ถึงไหน ไม่มีความชัดเจนอะไร จวบจนปัจจุบัน..”
ที่คืบหน้าที่สุดในขณะนี้ คืออนุกรรมการ ชุดบังคับใช้กฎหมาย การแยกงานสอบสวนให้เป็นอิสระ เรียกร้องมา 3 ปี แล้ว ประเด็นคือต้องการอิสระจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ก็มีการต่อต้านคัดค้านจากนายตำรวจระดับสูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายพล พนักงานสอบสวนเขาอยากเป็นอิสระ จากผู้กำกับ และผู้บังคับบัญชาระดับที่เหนือขึ้นไป ไม่สามารถสั่งการพนักงานสอบสวนได้ หากแก้ตรงนี้ได้ ก็จะสามารถแก้ปัญหาตำรวจเรียกรับส่วยได้ ธุรกิจสีเทา ที่ทำผิดกฎหมาย ตำรวจ ก็จะไม่สามารถเรียกรับเงินได้ เพราะไม่สามารถทำสำนวนสอบสวนเอื้อประโยชน์ให้ใครได้ การซื้อขายเก้าอี้ ก็จะหมดไปด้วย ...
“เป็นข้อเสนอชุดใหญ่ ของอนุกรรมการปฏิรูปตำรวจ แต่ก็มีแรงกดดันจากตำรวจระดับผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วย ....การซ้อมผู้ต้องหาก็จะหมดไป ผู้บริสุทธิ์จะไม่ต้องเดือดร้อน …”
“ฐานะอัยการในปัจจุบัน เสมือนถูกตำรวจแต่งนิยายให้อ่าน เพราะตำรวจเข้าไปทำเองทุกจุดตั้งแต่ต้น ตั้งเรื่องเอง – ชงเอง – กินเอง ตลอดแนว ต้องให้อัยการเข้าไปร่วมรู้เห็นตั้งแต่ต้น ตอนนี้ ที่ประชุมปฏิรูปตำรวจ เห็นด้วยแล้ว ..”
“กรณีมีประชาชนร้องเรียน ไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้อัยการเข้าไปร่วม 3 ระดับ คือ เข้าไปนั่งฟังเฉยๆ ระดับสอง แนะนำ หาหลักฐานเพิ่มเติมได้ ระดับสาม อัยการเข้าไปทำคดีเอง เหมือนอย่างในต่างประเทศ แต่ก็ยังถูกคัดค้านจากตำรวจระดับผู้ใหญ่ ...”
ล่าสุด นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ มีคำสั่ง ให้รองนายกฯพลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ ไปหารือกับรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย นายวิษณุ เครืองาม เพื่อทบทวนแนวทางปฏิรูปตำรวจ ให้ชัดเจน ในการแยกงานสอบสวนออกมา ....
หลังจากที่ ก่อนหน้านี้ นายกฯ ไปฟังคนรอบช้างมากไป ครั้งนั้นท่านทำพลาดไปยุบงานของพนักงานสอบสวน ให้กลับไปเป็นแบบเดิม เป็นผลให้คนหนีไม่มาทำงานสอบสวน
“ครั้งนี้จึง เป็นโอกาสดี ที่นายกฯจะได้แก้มือ ความล้มเหลว ที่ผ่านมา จากกรณี เมื่อวันที่ 3 พย. 60 ที่ผ่านมา สั่งให้รองนายกฯ 2 คน พลเอกประวิตร และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ดร. วิษณุ ทบทวน แยกงานสอบสวนออกมาให้ชัดเจน ให้คนภายนอก สายวิชาชีพ เข้ามาร่วมตรวจสอบถ่วงดุลตำรวจ”
พลเอกบุญสร้าง ประธานคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ เอง ก็เห็นด้วยกับ พลเอกประยุทธ์ ที่ออกคำสั่งดังกล่าว ผู้กำกับ กองบัญชาการ กองบังคับการสั่งพนักงานสอบสวนไม่ได้ ต้อง มีอิสระ มีผู้บัญชาการแท่งของตนเอง แบบอัยการ ศาล
คนสั่งต้องมีความรู้ เชี่ยวชาญเฉพาะ ต่อไปกรณี ตำรวจจะซ้อมผู้ต้องหา เพื่อบีบให้รับสารภาพ หรือจับแพะ ก็จะค่อย ๆ หมดไป ...
“พอคำสั่งนายกรัฐมนตรีออกมา ให้อัยการเข้ามาร่วมตรวจสอบถ่วงดุล วงแตกเลย หลายคนเครียด ตอนนี้ ก็ตัวใครตัวมันแล้ว…..”
เมื่อมีอำนาจในการสืบสวน ต้องมีระบบถ่วงดุล ระบบของเรา ขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตย อย่างสิ้นเชิง ตำรวจจับเอง สอบสวนเอง ...อัยการก็เหมือนคนตาบอด ประชาชนตกเป็นแพะ ศาลก็ตัดสินไปตามแนวที่ตำรวจวางมาแต่ต้น ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐาน ...บางครั้งหลักฐานต่าง ๆ ได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ..จากสถิติ สภาทนายความแห่งประเทศไทยเคยทำวิจัย พบว่า คดี 60 %ที่ศาลตัดสินลงโทษ เป็นแพะมากถึง 30 % ที่คนบริสุทธ์ต้องติดคุก ” นายปรัชญาชัย กล่าว
“คนมีเงิน มีอิทธิพล คนพวกนี้จะวางแผนมาแต่ต้น ทำอย่างไร ถึงจะไม่ต้องติดคุก ถ้าพลเอกประยุทธ์ แก้ปมอำนาจสอบสวนได้สำเร็จ จะมีผลพลิกเปลี่ยนประเทศครั้งใหญ่ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมไทย จะเป็นคุณูปการแก่ประเทศ ท่านต้องทำงานยึดหลักการ ตรงไปตรงมา ไม่มีพวกพ้อง น้องพี่ หรือเพื่อน ต้องยืนยันความถูกต้อง ให้ประชาชนได้เข้าถึงความยุติธรรม ไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล.. ท่านจะเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศ”
“ผู้ที่ขัดขวางการปฏิรูปตำรวจที่ผ่าน มา คือตำรวจระดับผู้ใหญ่ ที่อยู่รอบตัวนายกฯ ทั้งสิ้น ขณะนี้ประชาชน ก่นด่า ตำรวจมากมาย นายกฯ เริ่มมองเห็นแล้ว ท่านจะเลือกพวกพ้อง บริวาร หรือจะเลือกความถูกต้อง ถ้าทำตรงนี้ได้ จะเกิดจุดเปลี่ยนประเทศครั้งใหญ่….เป็นโค้งสุดท้ายแล้ว หากไม่ทำ ท่านจะเสียโอกาส”
“แก้ปัญหาเรื่องส่วยไม่ยาก ต่อไปไม่มีใครเรียกส่วย และไม่กล้าลงทุนซื้อเก้าอี้ ปัญหาธุรกิจสีเทา ก็จะเบาบางลง หรือหมดไป รถบรรทุกน้ำหนักเกินทำถนนพังก็แก้ได้ ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการซื้อเสียงในการเลือกตั้ง ก็จะลดลง ต่อไปเมื่อตำรวจสั่งบิดสำนวนสอบสวนไม่ได้ มีการถ่วงดุลในหลายระดับ กลไกแห่งความยุติธรรมก็จะขับเคลื่อนไปตามระบบของมัน”
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญํติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ขณะนี้เป็นความท้าทายเกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจว่า รัฐบาล คสช. จะทำสำเร็จหรือไม่ ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก ...
“ผมเคยทำเรื่องปฏิรูปตำรวจ มาตั้งแต่ ยุคปี 50 ขอฟันธงว่า ท่านนายกฯปฏิรูปตำรวจไม่สำเร็จ ตราบใดที่แก้ปัญหาตำรวจใกล้ตัวไม่ได้ ต่อให้ขึ้นเงินเดือนตำรวจเดือนละ แสน ก็แก้ไม่ได้ กระบวนการยุติธรรม มันเป็นปัญหาทั้งระบบ ขบวนการทุจริต คอรัปชั่น วันนี้ไม่เห็นความหวัง ยังริบหรี่ มีแต่เรื่องเล่าลือ ขบวนการส่วย ไม่ใช่เรื่องที่ต้องถามหาใบเสร็จ...”
“ผมได้พูดคุย กับกรรมการปฏิรูปตำรวจหลายคน มีทั้งความหวังและหมดหวัง นายกฯต้องกล้าตัดสินใจ ...จะ ปฏิรูปอย่างไร ให้ตำรวจมีคุณธรรม มันเป็นค่านิยมผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ...ที่บอกว่า เป็นเมียทหารต้องคอยนับขวด ถ้าเป็นเมียตำรวจให้คอยนับเแบ็งค์..”
การปฏิรูปตำรวจ ทำมาตั้งแต่รัฐประหาร ปี 49 กว่า 20 ปี แล้ว สมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ ตั้ง พลตำรวจโท วสิษฐ์ เดชกุญชร นายตำรวจตงฉิน มาเป็นประธาน คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ทำการวิจัยอย่างจริงจัง ได้เอกสารมากมายหลายเล่ม แต่หนสุดท้าย ก็ ล้มเหลว เพราะถูกนายตำรวจระดับนายพล ออกมาขัดขวาง… วิ่งไปถึงกฤษฎีกา หนที่สุดก็ต้องพับเก็บ “
การปฏิรูปครั้งนี้ ไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะมีผลการศึกษามาหมดแล้ว พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ยอมรับว่า องค์กรตำรวจใหญ่โตมากไป มีการจัดองค์กรเลียนแบบทหาร ทั้งที่ภารกิจต่างกับทหารอย่างสิ้นเชิง ตำรวจส่วนใหญ่ทำงานด้านให้บริการ ขณะที่ทหารทำด้านรักษาความมั่นคง
“ต้องกระจายอำนาจออกไปให้จังหวัดดูแล ...ยุบสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อน เพราะรวมศูนย์อำนาจ มากที่สุด ....ยุบตำแหน่งนายพลให้เหลือน้อยลง ตำรวจในต่างประเทศ เขามียศ แค่จ่าสูงสุด ..งานตำรวจส่วนใหญ่อยู่ที่โรงพัก ตำรวจต้องทำงานใกล้ชิดประชาชน..”
ปัจจุบันใครที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ การซื้อขายตำแหน่งในกรมตำรวจ ทั้งที่หลายเรื่องเป็นความจริง มีข้อมูลระบุ ได้ถึงที่มาที่ไป ก็จะถูกตำรวจชั้นผู้ใหญ่ออกมาเล่นงาน ฟ้องร้อง เพื่อปิดปาก เช่น อจ. สังศิต พิริยะรังสรรค์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยรังสิต นายวิทยา แก้วภราดัย นักการเมือง จากพรรคประชาธิปัตย์ หรือ พลเรือโท พะจุล ตามประทีป อดีตคณะทำงานปฏิรูปตำรวจ สปช. ก็ถูกข่มขู่ฟ้องร้อง จากนายตำรวจระดับสูง จนไม่มีใครกล้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์
การเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปตำรวจ น่าจะเกิดที่นายตำรวจระดับล่าง ดูจะเป็นความหวังมากกว่า ล่าสุด พ.ต.ต. สุริยา แป้นเกิด นายตำรวจหนุ่มไฟแรง อดีต สารวัตร สภ. หัวหิน ซึ่งทำงานเป็นพนักงานสอบสวนมานาน กว่า 17 ปี ได้เขียนเรื่องราวจากประสบการณ์ชีวิตจริงของพนักงานสอบสวน จากชีวิตการทำงานสอบสวน ลงในเฟซบุ๊คส่วนตัว ถือเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่ง ผู้บังคับบัญชาโดยตรง ขณะนี้วางจำหน่าย ได้รับการต้อนรับ ในความกล้าหาญยิ่ง
โดยคำสั่งชอง นายกฯ ประยุทธ์ ฉบับที่ 7 / 2559 ที่ให้ยุบพนักงานสอบสวน กลับไปเรียกชื่อรองสารวัตรสอบสวน พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิยศ พ.ต.อ. กว่า 700 นาย ถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ย้ายจากสถานีตำรวจไปประจำกองบังคับการ กองบัญชาการ ทำให้ไม่มีหน้าที่ทำงานสอบสวนเหมือนเดิมอีกต่อไป
ขณะที่พนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจ ต้องทำงานหนักมากขึ้น ไม่มีใครอยากมาทำงานด้านสอบสวน เพราะจะต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ต้องมีความรู้ด้านกฎหมาย และเขียนสำนวนเป็น การทำงานของพนักงานสอบสวน ถูกบีบคั้น หนัก ช่วงหลังมีข่าวพนักงานสอบสวนหลายคน ไม่มีทางออก กระทั่งบางคนต้องตัดสินใจผูกคอตาย เพื่อหนีปัญหา....
การปฏิรูปตำรวจ ที่ผ่านมา กลายเป็นเกม ปาหี่ ยื้อเวลาไปเรื่อย ๆ ระดับนโยบาย ไม่ลงมาสนับสนุนอย่างจริงใจ รองนายกรัฐมนตรี อย่างพลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ ยอมรับไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปตำรวจ ที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างใหญ่ จึงเป็นปมปัญหาอุปสรรค มาถึงทุกวันนี้
ภาพพจน์ตำรวจขณะนี้ ตกต่ำลงเรื่อยๆ มีนายตำรวจระดับสูง พูดภายในว่า หากปฏิรูปตำรวจกันจริงๆ พวกเขาจะทำมาหากินได้อย่างไร เท่ากับทุบหม้อข้าวพวกเขา ...นี่เป็นสาเหตุว่า ทำไมการปฏิรูปตำรวจจึงไม่มีความก้าวหน้าใดๆ…..มีแต่การปรับโน่นนิด… นี่หน่อย พอให้ได้ชื่อว่าปฏิรูปแล้ว โดยไม่ผ่าตัดที่โครงสร้าง หากปล่อยทิ้งไว้ เนื้อร้าย ก็จะกัดกิน ทำลายตัวมันเอง ความศรัทธา ความน่าเชื่อถือขององค์กร จะตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ ...
สมชาย แสวงการ สนช.ย้ำว่า รัฐบาลเหลือเวลาทำงานอีกไม่มาก ก็จะต้องเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งแล้ว นายกฯ ต้องกล้าตัดสินใจ ไม่คำนึงเรื่องพวกพ้อง น้องพี่ ต้องรักษาความถูกต้อง ไม่เช่นนั้น คสช. และรัฐบาลจะต้องตอบประชาชนให้ได้ว่า ที่ไม่สามารถปฏิรูปตำรวจได้เพราะอะไร...
ปรัชญาชัย กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลปฏิรูปตำรวจสำเร็จ จะเป็นจุดเปลี่ยนประเทศครั้งใหญ่ ขณะนี้เป็นโค้งสุดท้ายแล้ว รัฐบาล คสช. มีอำนาจแล้วไม่ใช้อำนาจให้เกิดประโยชน์เพื่อคนส่วนใหญ่ ก็น่าเสียดายโอกาส เพราะปัญหาทั้งหลายทั้งปวงของประเทศ ไม่ว่าปัญหาส่วย ปัญหาการคอรัปชั่น ปัญหาการซื้อ ขายเก้าอี้ ปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาความอยุติธรรมต่างๆ ล้วนเกิดมาจากระบบตำรวจ ที่รวมศูนย์อำนาจ และขาดการตรวจสอบ ถ่วงดุลทั้งสิ้น...
อัมพา สันติเมทนีดล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี