พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จัดประชุม ครม. สัญจรที่อุบลราชธานี พร้อมกับถือโอกาสพบปะประชาชน
มีตอนหนึ่งพลเอก ประยุทธ์ บอกประชาชนว่า
“ที่วิจารณ์ว่าจะต่ออำนาจ จะขยายเวลาต่อ ถามว่าผมได้อะไรกลับมา ทำไมต้องให้คนมาด่า 4 ปีที่ผ่านมา ที่ทรมานเพราะอ่านหนังสือพิมพ์และดูโทรศัพท์ วันนี้เลิกอ่านแล้ว ใครด่าก็ชกปากแล้ว ผมไม่เคยทำร้ายใคร ก็มีสิทธิ์ไม่ให้ใครมาเหยียบย่ำได้ และเรื่องที่ว่าใครดูด ถามว่าใครมาดูดใคร ไปพรรคอะไรก็เรื่องของท่าน จะไปดูดอะไร เพราะวันนี้ประชาชนจะเลือกเอง ก็ต้องเลือกคนดีๆ เลือกแบบเดิมทุกอย่างก็ตาย วันนี้ใครเกลียดผมไม่ชอบผม ขอให้เลิกอ่านหนังสือพิมพ์สัก 5 วันแล้วจะรักผมขึ้นมา ผมไม่เคยเกลียดใคร ที่ผ่านมาเป็นทหารมา 40 ปี มาได้ถึงวันนี้ ไม่ได้ไขว่คว้ามา แต่จำเป็นต้องมา วันหน้าใครทำดีกว่านี้ ก็แล้วแต่อยู่ที่ประชาชนจะเรียกหา ผมพยายามทำเต็มที่ ไปไหนก็ไหว้พระอธิษฐานให้คนไทยตลอด ไม่ได้ให้ตัวเอง ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้นรัฐบาลถูกจับตาการลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจร ที่จะมีกำหนดการพบผู้นำท้องถิ่นนักการเมืองจนถูกโจมตีถึงการดูดอดีต ส.ส.ไปร่วมงานกับพรรคที่สนับสนุนรัฐบาล จนยกเลิกกำหนดการดังกล่าว แต่ปรากฏว่าการเดินทางมาสวนสัตว์อุบลฯ มีนักการเมืองในกลุ่มจังหวัดอีสานตอนล่าง มารอให้การต้อนรับ นำโดย นายสุพล ฟองงาม อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายสุชาติ ตันติวณิชชานนท์ อดีต ส.ส.พลังประชาชน นายโกวิทย์ ธรรมานุชิต อดีต สจ. อุบลราชธานี นายประจักษ์ แสงคำ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นายอมรเทพ สมหมาย อดีตส.ส.ศรีษะเกษ พรรคชาติไทยพัฒนา นายศิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ อดีต ส.ส.ศรีษะเกษ นายรณฤทธิชัย คานเขต อดีตส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน
ฟังจากที่ท่านระบายออกมา แสดงถึงความอึดอัด รำคาญ อย่างยิ่งต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ถ้าสังเกตให้ดีก็จะพบว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้นระดับความรุนแรงแตกต่างกัน เหมือนเสียงติชมทั้งหลายนั่นแหละครับ ที่มีทั้งหวังดี ทั้งประสงค์ร้าย ยิ่งการเข้าสู่อำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการรัฐประหาร เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งรุนแรง
และยิ่งใกล้เวลาที่จะมาถึงการเลือกตั้ง ผู้คนก็ยิ่งจับตามอง เพราะมีทั้งคนที่ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อสนับสนุนอยากให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป มีทั้งการติดต่อทามทาม หรือที่เรียกว่า ดูดนักการเมือง ซ้ำเป็นนักการเมืองโสโครกบางคนบางกลุ่ม
ผู้คนก็ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์
และยิ่งจะหนักหน่วงรุนแรงขึ้นเมื่อบรรยากาศประชาธิปไตยมาถึง
ถึงเวลานั้นท่านจะไม่มีมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญมาปกป้องท่าน
ส่วนทหารหาญก็จะกลับสู่กรมกอง จะทำหน้าที่ก็เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติบ้านเมืองเท่านั้น
ก็อยู่ที่การตัดสินใจของท่านเองแหละว่าจะเอาอย่างไร จะดูแลชาติบ้านเมืองต่อไปในฐานะ นายกรัฐมนตรี ที่มีสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งแตกต่างจากสภานิติบัญญัติหรือไม่ ยอมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และสื่อมวลชนได้หรือไม่
เคยเขียนในที่นี้แล้วว่า เมื่อตอนจอมพลถนอมจะต้องคืนอำนาจนั้นจอมพลถนอมตั้งพรรคสหประชาไทย เป็นหัวหน้าพรรคเอง และก็เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่ก็ไม่นาน ก็ทนไม่ได้ ทนสภาที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ ทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ต้องยึดอำนาจอีกครั้ง
แต่ก็เคยมีนายกรัฐมนตรีที่ ตัดสินใจที่ไม่รับตำแหน่งต่ออยู่เหมือนกันนะครับ คือ นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย
รัฐบาลของท่าน พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ถูก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติให้การทำงบประมาณแผ่นดิน ทั้งรายรับรายจ่ายให้แจ้งรายละเอียดให้ชัดเจน ( รัฐบาลสมัยนั้นรับไม่ได้ที่จะต้องแจงทั้งหมด บอกต่อสภาว่า เจ้าหน้าที่แต่ละส่วนแต่ละฝ่ายทำไว้เรียบร้อยแล้ว) เมื่อลงมติรัฐบาลแพ้โหวต
ท่านพันเอกพระยาพหลฯตัดสินใจลาออก ปรากฎว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่ยอมรับใบลา ให้เหตุผลว่า สถานการณ์โลกกำลังปั่นป่วน คับขัน และคณะรัฐมนตรีก็กำลังเตรียมการรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะเสด็จกลับประเทศ
พระยาพหลฯจึงตัดสินใจยุบสภา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2481
และเมื่อเลือกตั้งเสร็จ 12 พฤศจิกายน 2481 ก็ประชุมรัฐสภา เพื่อหานายกรัฐมนตรี พระยาพหลฯได้ขอพบประธานรัฐสภาก่อน โดยขอร้องให้ประธานแจ้งต่อที่ประชุมว่า ท่านไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเด็ดขาด โดยอ้างปัญหาสุขภาพ
ที่ประชุมจึงได้เลือกพันเอก หลวงพิบูลสงคราม
ตอนที่ท่านพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาถึงแก่อสัญกรรมนั้น มีเงินเหลืออยู่ไม่ถึง 800 บาท
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี