(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
สถานการณ์ในช่วงเด็กวัย 13 –17 ปี มีประเด็นดังนี้
1.สุขภาพจิต มีการสำรวจข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่อาจแตกต่างไปตามประเด็น โดยในปี พ.ศ.2557 สำรวจสภาวะทางสังคม วัฒนธรรมและสุขภาพจิต (ความสุข) คนไทย ปี พ.ศ.2558 สำรวจสุขภาพจิตกับภาวะของการทำงาน และในปี พ.ศ.2559 สำรวจในประเด็นการฆ่าตัวตาย พบว่า ร้อยละ 23 เคยทำร้ายตนเองมาก่อน ขณะที่ร้อยละ 3 มีการทำร้ายผู้อื่นด้วย
2.การกระทำความผิด และปัญหาการติดเกมและพนันออนไลน์ไม่พบข้อมูลในปี พ.ศ.2559
3.สื่อออนไลน์ พบว่า มีการใช้คอมพิวเตอร์ลดลง โดยในช่วงอายุ 6-14 ปี มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด ร้อยละ 84.9 80.5 และ 74.6 ในปี พ.ศ.2557-2559 ตามลำดับ และมีการใช้อินเตอร์เนตมากขึ้นในช่วงอายุ15-24 ปี มีการใช้อินเตอร์เนตมากที่สุดร้อยละ 69.7 76.8 และ 86 ในปี พ.ศ.2557-2559 ตามลำดับ
ช่วงวัย 13-17 ปี ข้อมูลที่พบและมีการจัดเก็บ มักเป็นข้อมูลในด้านลบ อาทิ ด้านการกระทำความผิด การติดเกมและการพนันออนไลน์ การใช้สื่อ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ให้ภาพของเด็กในช่วงวัยนี้น้อยมาก
สถานการณ์ในช่วงเยาวชน 18-25 ปี มีประเด็นดังนี้
1.ผู้ต้องการพัฒนาขีดความสามารถมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 จนถึงปี พ.ศ.2557 และเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ.2558 โดยในปี พ.ศ.2557-2559 พบจำนวน 4.00 4.49 และ 4.06 ล้านคน ตามลำดับ
2.การมีงานทำของเยาวชน (มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป)ในปี พ.ศ.2559 พบจำนวน 55.77 ล้านคน โดยเป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานหรือผู้ที่พร้อมที่จะทำงาน 37.79 ล้านคน
3.การสูบบุหรี่ ประเด็นค่าใช้จ่ายเปรียบเทียบปี พ.ศ.2558และ 2559 พบว่า ค่าใช้จ่ายบุหรี่ลดน้อยลงอยู่ที่ 12,893 บาทในปี พ.ศ.2559 จาก 14,510 บาท ในปี พ.ศ.2558 ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2559 ไม่มีการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่
4.ความชุกผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประชากรอายุ 15-19 ปี ในปี พ.ศ.2557-2559 พบในอัตรา 1.53 1.00 และ 0.33 ต่อ 100 คน และเมื่อเปรียบเทียบปี พ.ศ.2558 และ 2559 พบว่า ค่าใช้จ่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มสูงขึ้น
5.อัตราการคลอดมีชีพในหญิงอายุ 15-19 ปี พบว่า อัตราการคลอดในวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ต่อหญิงวัยเดียวกัน 1,000 คน ลดลงต่อเนื่องในปี พ.ศ.2557-2559 โดยพบอัตรา 47.944.8 และ 42.5
6.อัตราการเสียชีวิต ในปี พ.ศ.2559 เพศชายมีอัตราการฆ่าตัวตายมากว่าเพศหญิงถึง 4 เท่า โดยกลุ่มช่วงอายุ 20-29 ปีเป็นช่วงอายุที่มีอัตราการพยายามฆ่าตัวตายสูงที่สุด
7.เด็กที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ในจำนวนนักโทษเด็ดขาดกว่า 260,000 คนทั่วประเทศ เป็นผู้พ้นโทษที่กระทำผิดซ้ำถึงร้อยละ 24 เพิ่มจากร้อยละ 21 เมื่อปี พ.ศ.2556
ปัญหาเด็กเยาวชนที่ยังคงรอการแก้ไขและเป็นปัญหาที่เห็นภาพต่อเนื่องทุกๆปีได้แก่ ปัญหาพัฒนาการล่าช้าในเด็กช่วงปฐมวัยปัญหาด้านสติปัญญา และความปลอดภัยของเด็กวัยเรียน ปัญหา
ด้านการกระทำความผิดของเด็กวัยรุ่น และเยาวชน อย่างไรก็ดีมีประเด็นอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจแต่ไม่มีข้อมูลให้เห็นภาพอย่างต่อเนื่องอาทิ ข้อมูลด้านความฉลาดทางอารมณ์ของเด็ก ข้อมูลด้านการศึกษาและการพัฒนาในด้านต่างๆ ทำให้ภาพเด็กและเยาวชนที่เห็นจึงเหมือนเป็นภาพแห่งปัญหาเท่านั้น
สำหรับประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นเด่นในปี พ.ศ.2559 ครอบคลุมเรื่องหลักๆ 2 ประการ คือ ด้านบวกและด้านลบ ด้านบวกที่เห็นเด่นชัดและเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2559 คือการผลักดันให้มีเงินอุดหนุน
เด็กแรกเกิดและมีมารดากลุ่มเป้าหมายมาลงทะเบียนมากถึงร้อยละ120.98 ซึ่งเกินจากเป้าหมายที่กำหนดมากในขณะที่สถานการณ์ด้านลบพบประเด็นในเรื่องความรุนแรงและความปลอดภัยของเด็กโดยในปี พ.ศ.2559 มีอุบัติเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับความไม่ปลอดภัยหลายประการ อาทิ กรณีไฟไหม้หอพักความรุนแรง ในครอบครัวที่กระทำต่อเด็ก และอัตราการฆ่าตัวตายที่เป็นตัวชี้วัดความรุนแรงของสังคมรูปแบบหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์เด็กและเยาวชนที่ต้องการการคุ้มครองเป็นพิเศษครอบคลุมประเด็นเด็กที่ถูกใช้แรงงาน พบว่าประเทศไทยมีเด็กอายุ 5-17 ปี จำนวน 10 ล้านคน โดยเป็นเด็กทำงานอยู่ 600,000 คน ของจำนวนเด็กทั้งหมด (พ.ศ.2556- 2558) ประเด็นเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรง ในปี พ.ศ.2559 พบความรุนแรงทางกายมากที่สุด จำนวน 171 คดี คิดเป็นร้อยละ 56.81 ประเด็นเด็กในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีแนวโน้มไม่คงที่โดยในปี พ.ศ.2559 พบเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี เสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บอีก 50 ราย ประเด็นเด็กเคลื่อนย้าย ไม่มีข้อมูลเป็นตัวเลข แต่ในปี พ.ศ.2559 มีระบุข้อมูลในแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนของไทย ในประเด็นพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบและเด็กเคลื่อนย้ายที่ติดตามบิดามารดามาทำงานในประเทศไทย ประเด็นเด็กที่ถูกทอดทิ้ง มีเด็กถูกทอดทิ้งลดลงจากปี พ.ศ.2558 พบถูกทิ้งในที่สาธารณะ 84 ราย และในปี พ.ศ.2559 พบถูกทิ้งในที่สาธารณะ 64 ราย และประเด็นเด็กไร้สัญชาติ ในปี พ.ศ.2559 มีนักเรียนนักศึกษาที่ไม่มีสัญชาติไทยจำนวน 78,175 คน ซึ่งได้ตรวจสอบหลักฐานเอกสารเบื้องต้นที่เก็บไว้ในระบบสารสนเทศที่สำนักทะเบียนกลาง ปรากฏว่า เป็นผู้มีคุณสมบัติที่อาจจะได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมายสัญชาติ จำนวน 20,337 ราย
สถานการณ์เด็กและเยาวชนกลุ่มที่มีความสามารถพิเศษและกลุ่มที่มีความต้องการพิเศษครอบคลุมประเด็นเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ในปี พ.ศ.2559 จากการแข่งขันคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ระดับประถมศึกษา (IMSO2016) พบว่า นักเรียนไทยได้รับ 16 เหรียญทอง 16 เหรียญเงิน1 เหรียญทองแดง พร้อมรางวัลคะแนนรวมสูงสุดคณิตศาสตร์รวมทั้งสิ้น 34 รางวัล และการแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนไทยได้รับรางวัล1 เหรียญทอง และ 5 เหรียญเงิน และประเด็นการจัดการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนที่มีความต้องการพิเศษ พบว่า มีแนวโน้มจำนวนคนพิการเพิ่มมากขึ้น โดยเด็กแรกเกิด-อายุ 20 ปี มีเด็กพิการรวม 129,169 คน ในปี พ.ศ.2556 และจำนวนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 129,209 คน หรือเพิ่มขึ้น 40 ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ในปี พ.ศ. 2558 อัตราส่วนของคนพิการทางสติปัญญามากที่สุด ร้อยละ 28.81และคนพิการไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 43.47 และในปี พ.ศ. 2559อัตราส่วนของคนพิการทางสติปัญญามากที่สุด ร้อยละ 29.38 คนพิการไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 34.65 และสถานการณ์เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิดและเด็กกระทำความรุนแรงพบปัญหาการแข่งขันรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทางรวมผู้กระทำผิด จำนวน 1,291 ราย และสถิติการแข่งรถ พบว่าในช่วงเดือนสิงหาคมมีปริมาณการรับแจ้งรวมตัว 21 ครั้ง อันเป็นการลดลงร้อยละ 36 ในส่วนของสภาเด็กและเยาวชนนั้น นับว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้ามาโดยลำดับ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด แต่ก็จัดว่าสภาเด็กและเยาวชนมีมุมมองการทำงานที่ค่อนข้างทันกับปัญหา สังเกตได้จากเวทีสิทธิเด็กที่ได้มีการพูดถึงสื่อออนไลน์และกระตุ้นเตือนให้เยาวชนรู้ทันสิทธิออนไลน์ของตน พร้อมๆ กับการเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ทักษะการคิดและทักษะชีวิต ซึ่งทักษะการคิดและทักษะชีวิตนี้เป็นหัวใจของการทำงานของสภาเด็กและเยาวชนในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สิงคโปร์และมาเลเซียมาเป็นเวลานานแล้ว
สำหรับการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนในปี พ.ศ.2559 มีกิจกรรมดังนี้ 1) เวทีสิทธิเด็ก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดงานเวทีสิทธิเด็ก ครั้งที่ 27 ภายใต้หัวข้อ“BE SMART &SAFE ONLINE:ก้าวทันสื่อ รู้ทันสิทธิออนไลน์” ทั้งนี้ ในปัจจุบันเด็กและเยาวชนมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้กระบวนการทำงานมีความซับซ้อนและยากต่อการควบคุม ดังนั้น การแก้ไขปัญหาจะมุ่งเน้นมุมมอง 2 มิติ ได้แก่ มิติตัวเด็ก และมิติสภาพแวดล้อม 2) เยาวชนประกาศเจตนารมณ์ป้องกันภัยจากสื่อออนไลน์คือ จะใช้สื่อออนไลน์อย่างมีวิจารณญาณและใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจะเฝ้าระวังการใช้สื่อออนไลน์ทุกรูปแบบและจะจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ และ 3) สมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ประจำปี 2559 ข้อเสนอสมัชชาเด็กและเยาวชนที่ได้จากการประชุมรวบรวมความเห็นจากสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย องค์กรและผู้ที่ทำงานด้านเด็ก เพื่อเสนอต่อรัฐบาลให้ผลักดันเป็นนโยบาย โดยสรุปข้อเสนอให้รัฐบาลเป็น 2 เรื่องหลัก คือ(1) การส่งเสริมผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ทักษะการคิดและทักษะชีวิตทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษาและ (2) การจัดการกับปัญหายาเสพติดทั้งมิติการสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกัน แก้ไข บำบัด ฟื้นฟูให้แก่เด็กและเยาวชน
ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2559 ได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์การมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนในรูปแบบของการศึกษา 2 เรื่อง คือ เรื่องความต้องการของวัยรุ่นและเยาวชนด้านการพัฒนาศักยภาพ เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน สังคม และเรื่องสถานการณ์การสร้างและสนับสนุนกลุ่มเด็กและเยาวชน เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน สังคมของหน่วยงาน
สำหรับบทบาทของท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชนและภาคธุรกิจ และการระดมสรรพกำลังแบบจตุภาคี และบทบาทของสื่อและอาสาสมัครในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในปี พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา
ประเด็นบทบาทของท้องถิ่นในการพัฒนาเด็กและเยาวชน มีแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมที่หลากหลายที่หน่วยงานในระดับท้องถิ่นได้เข้าร่วมเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยมีกรณีตัวอย่าง
ดังนี้ 1.โครงการ เชื่อมร้อยและถักทอพลังชุมชน เพื่อพัฒนา “ทีมนักถักทอชุมชนของ อปท.” และสร้าง “กลไกเพื่อพัฒนาเยาวชน” ในการปลูกจิตสำนึกความเป็นพลเมือง (Active citizen) ของมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 2. โครงการ “โรงเรียนพอเพียงท้องถิ่น” (Local Sufficiency School: LSS) โดยกองส่งเสริมและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย 3.โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการคุ้มครองเด็กและเยาวชน โดยกองคุ้มครองเด็กและเยาวชน (กลุ่มการพัฒนาระบบคุ้มครอง) และ 4.โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายพี่เลี้ยงสภาเด็กและเยาวชนตำบล โดยกองส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายวัตถุประสงค์ เป็นต้น
ประเด็นบทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชนและภาคธุรกิจในการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลบทบาทขององค์การพัฒนาเอกชน 91 องค์กร และภาคธุรกิจ 65 บริษัท ทำให้เกิดข้อค้นพบ 7 ประการหลัก คือ 1) ประเภทหรือสถานภาพของหน่วยงาน2) พื้นที่การทำงานหรือสนับสนุน 3) ประเด็นและสัดส่วนของประเด็นการทำงาน/สนับสนุน 4) งบประมาณ 5) ความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ของสังคม 6) การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย และ 7) ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานขององค์กรพัฒนาเอกชน
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม
หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี