(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ประโยชน์ที่ได้รับ
๑) ความมั่นคงด้านรายได้ทั่วหน้า ทางเลือกในการออม สำหรับการเตรียมตัวก่อนถึงวัยผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุจะมีรายได้ในวัยสูงอายุเพิ่มขึ้นอีก รายละ ๗๐๐-๑,๕๐๐ บาทต่อเดือน จาก scheme นี้
๒) การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
๓) ลดภาระของรัฐในอนาคต
๔) สร้างวินัยการออมในทุกระดับ
๒.ประเด็น “ภาระงบประมาณด้านระบบบำนาญของประเทศไทยและแนวทางในการแก้ไขปัญหาความยากจนในผู้สูงอายุ”โดย ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
งบประมาณด้านสวัสดิการสังคมกรณีชราภาพ ได้รับการจัดสรรให้กับผู้สูงอายุในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ เบี้ยยังชีพ บำเหน็จบำนาญข้าราชการ และเงินสมทบเข้า กบข. กองทุนประกันสังคม และ กอช. ในส่วนของงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมกรณีชราภาพในปี พ.ศ. ๒๕๖๐จำนวน ๓.๗ แสนล้านบาท (๒.๔% ของ GDP หรือ ๑๒% ของงบประมาณ)
มาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ
แนวทางการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ผ่านมาเน้นสร้างหลักประกันรายได้ยามชราภาพ ผ่านการจ่ายเงินสงเคราะห์ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตของ ผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ควบคู่กับการส่งเสริม สุขภาวะทางสุขภาพที่ดีผ่านการพัฒนาชุดความรู้ต่างๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจที่ดี เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย ปัจจุบันประเด็นเรื่องการจ้างงานผู้สูงอายุได้รับ ความสนใจในสังคมไทยเป็นอย่างมาก เมื่อมีงานวิจัยและเวทีเสวนาหลายเวทีที่นำเสนอหัวข้อ “สูงวัยไม่หยุดทำงาน” เพื่อส่งเสริมการทำงานของผู้สูงอายุ อันจะเป็นการรักษามาตรฐานการครองชีพในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อน การเกษียณอายุ และเป็นการส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจและสังคมของผู้สูงอายุด้วย อย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวยัง ไม่นำไปสู่การปฏิบัติมากนัก จึงเป็นเรื่องน่ายินดีที่รัฐบาล ได้เล็งเห็นความสำคัญของการรองรับสังคมผู้สูงวัย โดยผ่านการออกมาตรการต่างๆ ที่สอดรับกับสังคมผู้สูงวัยของไทย ดังนี้
๑.มาตรการจ้างงานผู้สูงอายุ หากหน่วยงานใดมีการจ้างงานคนที่มีอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป เงินเดือนที่ต้องจ่ายให้กับผู้สูงอายุจะสามารถนำมาหักภาษี ได้สองเท่าของรายจ่ายประเภทเงินเดือนและค่าจ้าง (สำหรับการจ้างบุคลากรผู้สูงอายุซึ่งมีอัตราค่าจ้างไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน) โดยนายจ้างสามารถขอใช้สิทธิ์ได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด ทั้งนี้ลูกจ้างจะต้องไม่เป็นผู้ถือหุ้นของกิจการ กรรมการผู้บริหาร หรือเคยเป็นผู้บริหารของกิจการมาตรการนี้ถือว่าเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงในเรื่องรายได้ของผู้สูงอายุให้สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ยาวนานขึ้น เป็นการเปลี่ยนการมองภาพผู้สูงอายุที่มองว่า“ผู้สูงอายุเป็นภาระ” ให้เป็น “ผู้สูงอายุมีคุณค่า” แม้ว่าบุตร ยังคงเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของผู้สูงอายุในปัจจุบัน แต่ก็มีแนวโน้มลดลงอันเนื่องมาจากผลของค่านิยมที่เปลี่ยนไปของสังคมไทยที่มีบุตรน้อยลง รวมถึงการย้ายถิ่นของคนในวัยทำงาน จึงทำให้ผู้สูงอายุได้รับเงินเพื่อช่วยเหลือจุนเจือจากบุตรหลานน้อยลงไปด้วย การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุคงอยู่ในกำลังแรงงานเป็นเรื่องที่สำคัญ นอกจากการทำงาน จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุแล้วการทำงานยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพทั้งทางร่างกายจิตใจและสังคมของผู้สูงอายุอีกด้วย โดยเป็นการส่งเสริมให้เกิดพลัง (active ageing) และให้ผู้สูงอายุประสบความสำเร็จอีกด้วย
๒.มาตรการสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ มาตรการนี้ส่งเสริมการสร้างที่พักอาศัยที่มีความ เหมาะสม และมีสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นการเฉพาะให้กับผู้สูงอายุ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของ
ผู้สูงอายุให้มีที่พักอาศัยที่ปลอดภัย มีอุปกรณ์ใช้สอยที่เหมาะสมและอยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาล โดยจะมีการสร้างที่พักอาศัยทั้งในรูปแบบการเช่าที่ราชพัสดุ จำนวน ๔ แห่ง ในจังหวัดชลบุรี นครนายกเชียงราย และเชียงใหม่ รวมพื้นที่ ๑๓๕ ไร่ รวมทั้งการจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ในรูปแบบของบ้านประชารัฐที่ดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และยังสนับสนุนสินเชื่อ เงื่อนไขผ่อนปรนให้แก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ วงเงินรวมไม่เกิน ๔,๐๐๐ ล้านบาท และให้มีการจัดสรรวงเงิน สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อรองรับการดำเนินโครงการในระยะต่อไปด้วย โดยให้สิทธิการจองสำหรับบุตรที่เลี้ยงดูบิดามารดาเป็นลำดับแรก ทั้งนี้มีข้อมีสังเกตว่า ๑) มาตรการนี้ให้สิทธิสำหรับบุตรที่เลี้ยงดูบิดามารดาเป็นลำดับแรก ซึ่งสะท้อนภาพให้เห็นว่าสังคมไทยยังต้องการส่งเสริมค่านิยมในการเลี้ยงดูบิดามารดาว่าเป็นหน้าที่หลักของบุตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์อนาคตที่ผู้สูงอายุจะมีจำนวนมากขึ้นอย่างเร็ว รัฐไม่สามารถที่จะดูแลผู้สูงอายุได้อย่างทั่วถึงดังนั้นจึงต้อง เป็นหน้าที่ของบุตรในการดูแลบิดามารดา ๒) มาตรการนี้เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยใหม่เท่านั้น ควรคำนึงถึงผู้สูงอายุส่วนใหญ่อาศัยอยู่บ้านเดิมที่ตนเองเป็นเจ้าของ แต่มีแนวโน้มที่จะอาศัยอยู่เพียงลำพังคนเดียว หรืออาศัยอยู่กับคู่สมรสมากขึ้นการปรับปรุงที่อยู่อาศัยเดิม ให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุแทนที่การย้ายเข้าไปในโครงการหรือบ้านพักที่จัดขึ้นใหม่สำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะก็น่าจะตอบโจทย์และช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถเลือกใช้ชีวิตสูงวัยในบ้านเดิมได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ด้วยเช่นกัน
๓.สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ สินเชื่อที่อยู่อาศัย หมายถึงเงินกู้ระยะยาวที่กู้ยืมจากสถาบันการเงินหรือธนาคาร โดยใช้ที่อยู่อาศัยนั้นเป็นหลักประกันในการจำนองให้แก่ ธนาคารผู้ให้สินเชื่อ มาตรการนี้เป็นการให้เงินกู้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ ๖๐ ปีขึ้นไปที่มีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภาระหนี้เป็นของตนเอง เพื่อให้ผู้สูงอายุนำที่อยู่อาศัยของตนมาเปลี่ยนเป็นเงินดำรงชีพ ซึ่งมูลค่าเงินที่กู้ได้จะขึ้นอยู่กับอายุของผู้กู้ มูลค่าบ้านและอัตราดอกเบี้ย ผู้สูงอายุสามารถเลือกวิธีรับเงินเป็นก้อนเดียว หรือทยอยรับเป็นงวดจนกว่าจะเสียชีวิตหรือจนกว่าจะหมดอายุสัญญาเงินกู้ โดยผู้กู้ไม่ต้องชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยคืนและหลังจากผู้กู้เสียชีวิตที่อยู่อาศัยจะตกเป็นของธนาคาร โดยปกติแล้วสินเชื่อที่อยู่อาศัยของบุคคลทั่วไปที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะเป็นในลักษณะของบ้านที่ยื่นกู้นั้น จะเป็นหลักประกันในการกู้ยืมและผู้กู้จะได้เงินมาเป็นก้อนสำหรับจ่ายค่าบ้านหรือนำไปใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆ ที่จำเป็น ผู้กู้จะต้องจ่ายคืนให้กับธนาคารเป็นรายเดือนตามที่ตกลงกับธนาคาร ซึ่งตรงกันข้ามกับสินเชื่อสำหรับผู้สูงอายุที่ธนาคารจะเป็นคนจ่ายเงินเป็นรายเดือนให้แทนโดยมีบ้านเป็นหลักประกันและผู้สูงอายุยังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นไปได้จนกว่าจะเสียชีวิต และที่สำคัญผู้ที่ต้องการกู้ไม่ต้องยื่นหลักฐานแสดงรายได้ของตนเองไม่ต้องตรวจสุขภาพ มีแค่เพียงบ้านและที่ดินที่ปลอดภาระการผ่อนชำระกับธนาคารเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว มาตรการนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในสหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ สำหรับประเทศไทยมีบางธนาคารที่ขานรับนโยบายนี้ของรัฐบาล เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยได้จัดทำโครงการบ้าน ธอส. เพื่อผู้สูงอายุ เป็นต้น มาตรการนี้มุ่งคุ้มครองและช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ไม่ได้เป็นข้าราชการบำนาญ ไม่มีเงินสำรองเพียงพอต่อการใช้ชีวิต และไม่มีลูกหลานไว้คอยดูแลจำนวนผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี ถือได้ว่ามาตรการดังกล่าวเป็นทางเลือกสำหรับวัยเกษียณในอนาคต และเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่เสริมสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้ผู้สูงอายุ และการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีการออมที่พอเพียง อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวยังมีผู้มาใช้สินเชื่อดังกล่าวน้อยมาก
๔.การบูรณาการระบบบำเหน็จบำนาญ มาตรการนี้เป็นการสนับสนุนการออมภาคบังคับ เพื่อสร้างหลักประกันรายได้ที่มั่นคงเมื่อยามสูงวัย เมื่อสำรวจการออมของผู้สูงอายุ พบว่าผู้สูงอายุไทยมีอัตราการออมที่ต่างมาก โดยประมาณร้อยละ ๖๕ ของผู้ที่มีอายุ ๖๐ ปีขึ้นไปไม่มีเงินออมเลย สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุไทยยังไม่มีความมั่นคงทางด้านรายได้ในช่วงหลังวัยเกษียณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานนอกระบบ และแรงงานในระบบที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มาตรการนี้กำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนา และการกำกับดูแลระบบบำเหน็จบำนาญของประเทศให้ครอบคลุมและจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เพื่อเป็น“กองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ” สำหรับ แรงงานในระบบ ครอบคลุมทั้งลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ พนักงานราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีอายุ ๑๕-๖๐ ปี ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยให้มีการจ่ายเงินเข้ากองทุนจาก ๒ ฝ่าย คือ ลูกจ้าง และ นายจ้าง ลูกจ้างจะได้รับบำนาญหรือบำเหน็จเมื่ออายุครบ ๖๐ ปี เพื่อให้แรงงานกลุ่มดังกล่าวมีรายได้ที่เพียงพอในการดำรงชีวิตหลังเกษียณโดยกำหนดให้ กบช. เปิดรับสมาชิกตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โดยลูกจ้างและนายจ้างต้องส่งเงินเข้า กบช. ฝ่ายละ ๓% ของค่าจ้างสูงสุดไม่เกินเดือนละ ๑,๘๐๐ บาท และทยอยปรับเพิ่มเป็น ๑๐% ใน ๑๐ ปี ส่วนลูกจ้างที่มีรายได้ไม่ถึงเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ไม่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนโดยให้นายจ้างส่งเงินฝ่ายเดียว
จากการสำรวจแรงงานนอกระบบของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี ๒๕๕๘ พบว่า ผู้มีงานทำจำนวน ๓๘.๓ ล้านคน เป็นแรงงานในระบบ ๑๖.๙ ล้านคน (ร้อยละ ๔๔.๑) และเป็นแรงงานนอกระบบ ๒๑.๔ ล้านคน (ร้อยละ ๕๕.๙) ในจำนวน ๑๖.๙ ล้านคนที่เป็นแรงงานในระบบนี้ ยังมีบุคคลส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งครอบคลุมลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างชั่วคราวส่วนราชการ พนักงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ มาตรการนี้จะช่วยให้แรงงานมีเงินออมหลังเกษียณเพิ่มเป็น ๕๐% ของรายได้ จากปัจจุบันอยู่ที่ ๑๙% เป็นการช่วยให้แรงงานในระบบมีการเตรียมความพร้อมการออมเพื่อการชราภาพในอนาคต และยังช่วยเพิ่มระดับการออมของประเทศให้สูงขึ้นเฉลี่ยปีละ ๖๘,๐๐๐ ล้านบาทจุดเริ่มต้นของการรับมือ การเล็งเห็นความสำคัญของการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้สูงอายุ ทำให้ภาครัฐและผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ ร่วมกันผลักดันมาตรการทั้งสี่ เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุดังกล่าวขึ้น มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีความมั่นคงทางรายได้ และเป็นหลักประกันรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนเพื่อการออมในยามชราภาพ นอกจากนี้แล้วยังช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล และช่วยตอบรับกับความต้องการของตลาดในเรื่องการขาดแคลนแรงงานอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อีกด้วย นอกจากนี้แล้วมาตรการช่วยเหลือผู้สูงอายุทั้ง ๔ มาตรการ ยังส่งเสริมให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่าเปลี่ยนจากคำว่า “ภาระ” เป็น “พลัง” ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีในบั้นปลายชีวิตทั้งกายและใจ การปรับปรุงบ้านพักอาศัยให้ปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ นอกจากจะช่วยเพิ่มคุณภาพผู้สูงอายุและยังช่วยป้องกันอุบัติเหตุในผู้สูงอายุได้ด้วย
อนึ่ง ประเด็นร่างกฎหมายกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) นั้น คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการ และผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ซึ่งกระทรวงฯ
ได้ยืนยันร่างกฎหมายและมีข้อสังเกตดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม
หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี