คำว่า “เสี้ยม” แปลได้หลายความหมาย เช่น “ทำให้แหลม” และ “สอนให้เป็นจอมอุบาย” เป็นต้น

ส่วนความหมาย “ยุยงส่งเสริมให้บาดหมางกัน” ถือว่า “เข้าทางจอมเสี้ยม” เป็นที่สุด

“จอมเสี้ยม” มีมาตั้งแต่โลกโบราณ ฝ่ายไหนจะชนะสงคราม จะต้องมี “จอมเสี้ยมระดับอรหันต์” เป็นผู้วางแผน “ยุยงส่งเสริมให้ศัตรูบาดหมางกันถึงขั้นฆ่ากันเอง” อย่างเช่น “ขงเบ้ง” ในสามก๊ก ถือเป็น “จอมเสี้ยมมือวางอันดับหนึ่ง” ที่ไม่เคยเสียตำแหน่ง “แชมป์เสี้ยม” ให้แก่ใคร สำหรับวันนี้ไซร้ ว่ากันว่า “พี่กัน” เป็นแชมป์เสี้ยมตัวจริง

ประเทศไทย “นักเสี้ยมทีมชาติ” ทั้งหลายล้วนอยู่ในกลุ่มบุคคลผู้แสวงหาอำนาจทางการเมือง โดยมีประชาชนตาดำๆ ตกเป็น “เหยื่อ” ของนักแสวงหาอำนาจที่ถูก “ยุยง” ให้ออกมาฟาดฟันกันเอง จนเข้าทาง “ไอ้เสี้ยม”

มีผู้วิเคราะห์ว่า ขณะนี้ “สิ่งที่ตะขิ่นดูไบกลัวใจเป็นที่สุด” ได้แก่ “ลุงตู่” กำลังจะชนะใจประชาชนและถ้าลุงตู่อยู่ในอำนาจยาวนานต่อไป แล้วประชาชนเกิดรักเรือแป๊ะขึ้นมา โอกาสที่ตะขิ่นจะทวงอำนาจกลับมาเป็นของตน แทบจะมองไม่เห็น ดังนั้น “เปิ้น” จะต้อง “เสี้ยม” ให้เกิดความบาดหมางในเรือแป๊ะอย่างด่วนจี๋ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้

ตะขิ่นดูไบคงจะออกหน้ามาเป็น “จอมเสี้ยม” เต็มตัวไม่ได้เพราะ “แค่อ้าปาก” เท่านั้น คนทั้งโลกก็เห็น “มังกรเจ็ดหัวเตรียมพ่นพิษพ่นไฟ”

จึงไม่น่าประหลาดใจ “การเสี้ยมให้เรือแป๊ะเกิดความแตกแยกกัน” จึงต้องมาจากปฏิบัติการของหัวหมู่ทะลวงฟันที่ตะขิ่นวางใจ

ล่าสุดของล่าสุด “ท่านขุนช้างล้านนา” ทหารเอกระดับ “แฮหัวตุ๋น” ของตะขิ่น ก็ออกมา “เสี้ยม” ด้วยวาจานิ่มๆ ว่าหลังวันที่ 7 แล้ว ประชามติจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ตาม “เรือแป๊ะ” จำเป็นต้องมีการปรับครม. โดยต้องเปลี่ยนตัวทีมเศรษฐกิจทั้งหมด ที่สำคัญ “จะต้องให้ลุงป้อมเป็นนายกฯ แทนลุงตู่”

พูดจบตดยังไม่ทันหายเหม็น ลุงป้อมก็รีบออกมาบอกชาวบ้านว่า “เห็นบ่างผมบางวิ่งผ่านไปแว้บๆ”

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม