วันลอยกระทงที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพบหน้าค่าตาใครหลายคน ต่างเล่าข้อมูลเรื่องบ้านเมืองในเชิงลึกให้ผมฟัง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องที่เกิดขึ้นที่กระทรวงแรงงาน การปรับครม. รวมถึงเรื่องที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติกำลังพิจารณา พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบฯ
เล่าให้ฟังแล้ว ยังตั้งคำถามต่อไปอีกว่า อาจารย์จะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้หรือ?
เมื่อไหร่จะออกหนังสือ “รู้ทัน คสช.” ผมก็ได้แต่ลำบากใจเพราะยังไม่รู้ทัน คสช. เหมือนที่เคย “รู้ทันทักษิณ” อีกใจหนึ่งก็คิดว่า สถานการณ์ขณะนี้ น่าจะเพียง “จับตา คสช.”
เรื่องที่น่าจับตามากที่สุดขณะนี้ คือ การพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ที่อยู่ในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของ สนช. ว่า สนช.จะแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ระบุให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดเดิมต้องพ้นไป และมีการสรรหา ป.ป.ช.ชุดใหม่ 9 คน (Set Zero) หรือจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปเป็นว่าให้ ป.ป.ช.ชุดเก่าอยู่ต่อไปจนครบวาระ
ข้อเท็จจริงที่ควรพิจารณา มีดังต่อไปนี้
1.ขณะนี้ ป.ป.ช. 7 คน มีคุณสมบัติต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับที่ประกาศใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
(1)พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เคยดำรงตำแหน่งรองเลขาฯ นายกฯ (ในทางปฏิบัติ คือ เป็นเลขาฯของรองนายกฯ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) เมื่อปี 2557 ซึ่งพ้นจากตำแหน่งไม่ถึง 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญกำหนด
(2)นายปรีชา เลิศกมลมาศ, พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง, นายณรงค์ รัฐอมฤต, นางสาวสุภา ปิยะจิตติ, พล.อ.บุญยวัจน์ เครือหงส์ ทั้ง 5 คน เคยรับตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการไม่ถึง 5 ปี ตามรัฐธรรมนูญกำหนด
(3)นายวิทยา อาคมพิทักษ์ ได้พ้นจากตำแหน่งกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ไม่ถึง 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดห้ามไว้
ดังนั้น ถ้ายึดตามร่างของ กรธ. คือ เซตซีโร่ ก็จะต้องสรรหา ป.ป.ช.ใหม่ ทั้ง 9 คน
หมายความว่า ป.ป.ช. ทั้ง 7 คน จะต้องพ้นไป เมื่อ พ.ร.ป. ประกาศใช้ รวมทั้งประธาน ป.ป.ช. คือ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ด้วย
2. สนช.ได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมาพิจารณาแปรญัตติ สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงร่างของ กรธ. เพื่อเสนอต่อสภาได้
ปรากฏว่า มีการแต่งตั้งบุคคลใกล้ชิด พล.ต.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้าไปทำหน้าที่ เช่น
พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (น้องชายของพลเอกประวิตร และเคยเป็นผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดของประธาน ป.ป.ช.คนปัจจุบัน)
พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์, พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร, พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา, พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ เป็นต้น
ยิ่งกว่านั้น พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร ได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ อีกด้วย
แถมบางคน เช่น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณกำลังถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบเรื่องทรัพย์สินในประเด็นร่ำรวยผิดปกติด้วย
3.มากไปกว่านั้น คณะกรรมาธิการฯ ของ สนช. ยังมีโควตาที่ให้แก่ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน เสนอคนเข้ามาเป็นกรรมาธิการอีก 2 คน ก็ปรากฏว่า เป็น พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ และคุณสุภา ปิยะจิตติ ซึ่งล่อแหลมจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนได้
แม้จะอ้างว่าประชุมได้ แต่ถึงเวลาออกเสียงก็จะไม่โหวต เหมือนกับที่เคยพิจารณาคดีสลายการชุมนุมพันธมิตร 7 ต.ค. 2551 ซึ่งก็จะเป็นจุดอ่อนให้ถูกโจมตี และลดความน่าเชื่อถือได้ ว่าทำเพื่อตนเอง
4.ถ้ายังจำกันได้ เมื่อ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจสมัครเข้าเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ก็มีการคาดการณ์กันว่า คงจะได้เป็นประธาน ป.ป.ช. เพราะสนิทใกล้ชิดกับพลเอกประวิตร และพล.ต.อ.พัชรวาท และเมื่อได้เป็นประธาน ป.ป.ช.จริง ก็ถูกจับตา และคาดการณ์ว่า คดีสลายการชุมนุมพันธมิตร 7 ต.ค. 2551 พล.ต.อ.พัชรวาทจะไม่ต้องรับผิด และเมื่อศาลยกฟ้องก็จะไม่มีการอุทธรณ์ ทั้งๆ ที่ ป.ป.ช.ชุดที่แล้ว ได้ชี้มูลความผิดร้ายแรงไว้แล้ว และ ป.ป.ช.เป็นผู้ฟ้องเอง ซึ่งในที่สุดก็เป็นความจริงตามนั้น
เบื้องหลังแห่งความจริงจะเป็นอย่างไร ก็ยากจะรู้ นอกจากเจ้าตัวเองเท่านั้นที่จะรู้ความจริง
5.รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้เปิดช่องไว้ให้ว่า กรรมการองค์กรอิสระจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือไม่ ให้ขึ้นอยู่กับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความหมายว่า ขึ้นอยู่กับการพิจารณากฎหมายของ สนช.
ที่ผ่านมา สนช.ได้กำหนดในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฯ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ต้องหลุดจากตำแหน่งทั้งหมด (เซตซีโร่) แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้ (ไม่เซตซีโร่) ต่างก็อ้างเหตุผลคนละประเด็น คนละครั้งที่แตกต่างกัน ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ก็สามารถจะอ้างได้ทั้งสิ้น แต่ถ้าพิจารณาเปรียบเทียบก็จะเห็นการยึดมาตรฐานที่แตกต่างกันตามตัวบุคคลที่เป็นกรรมการขององค์กรอิสระ
ครั้งนี้ จึงมีการคาดเดากันว่า ผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังต้องการจะคงกรรมการ ป.ป.ช.ชุดเดิมไว้ เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองในอนาคตหรือไม่
6.รัฐธรรมนูญปี 2540 และรัฐธรรมนูญปี 2550 รวมทั้งรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ได้ออกแบบให้ ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระที่สำคัญที่สุดในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ
เพราะไม่ว่าหน่วยงานใดตรวจพบ และจะกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำคัญทุกระดับ และข้าราชการระดับสูง จะต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบสวน ป.ป.ช.จึงมีอำนาจมากในการดำเนินคดี ว่าจะปล่อยหรือจะส่งฟ้องศาล และที่ผ่านมา ก็พบว่าป.ป.ช. 9 คน (ในอดีต) ทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ ขึ้นเงินเดือนให้กับตนเอง จนต้องถูก สว.และ สส. เข้าชื่อฟ้องต่อศาลฎีกาฯ เอาผิดมาแล้ว
แต่ครั้งนี้ รัฐธรรมนูญปัจจุบันกลับระบุ หาก สว.หรือสส.พบการกระทำผิด ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้าชื่อกันเพื่อส่งศาลฎีกาฯ จะต้องส่งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร (ในฐานะประธานรัฐสภา) พิจารณา ซึ่งอาจระงับเรื่อง ไม่ส่งไปยังศาลฎีกาฯ ได้
ก็เท่ากับว่า ประธาน ป.ป.ช. และประธานรัฐสภา จะต้องเกรงใจกัน หรือเกาหลังกัน ผลประโยชน์ทับซ้อนย่อมเกิดได้ไม่ยาก เพราะในอดีตก็เคยมีประธานสภาเอง ไม่ว่าจะเป็น ยงยุทธ ติยะไพรัช,สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์,นิคม ไวรัชพานิช ก็เคยถูก ป.ป.ช.สอบสวนมาแล้ว
จับตา คสช.
ยังมีอีกหลายเรื่อง ที่จะต้องช่วยกัน จับตา คสช.
จะปล่อยและวางใจให้บ้านเมืองอยู่ในมือของคนกลุ่มเดียว หรือในมือของคนบางคนไม่ได้
กรณีตั้งกรรมาธิการที่ประกอบด้วยบุคคลสายบิ๊กป้อม และให้ ป.ป.ช.ผู้มีส่วนได้เสียเข้ามาเป็นกรรมาธิการแก้ไขกฎหมายเสนอ สนช.ได้ จึงเป็นเรื่องที่สั่นกระดิ่ง เตือนให้ประชาชนต้อง “จับตา คสช.” เพื่อจะได้ “รู้ทัน คสช.” ต่อไป
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี