สินค้าเกษตรจากจีนทะลักเข้าไทยตั้งแต่ปี 2548 เกษตรกรไทยเสียหาย เหตุเพราะผู้บริหารประเทศขาดการรับมือล่วงหน้าในข้อตกลงเขตการค้าเสรี อาเซียน - จีน (ASEAN - China Free Trade Area) ที่ประเทศไทยร่วมลงนามไว้นั่นเอง บัดนี้ กำลังจะครบกำหนดที่สินค้าอีกหลายตัว ต้องลดภาษีหรือไม่มีภาษีระหว่างกัน จะเริ่มมีผลในปีใหม่นี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป
สินค้าประเภทแรก คือกลุ่มสินค้าที่เคยมีพิกัดภาษีนำเข้าที่ร้อยละ 12 - 20 จะถูกลดภาษีเหลือร้อยละ 5 เช่น แป้งข้าวสาลี หินอ่อน
ยางรถยนต์ กระดาษ กระเบื้อง ทีวี ตู้เย็น รวมกว่า 700 รายการ และสินค้าประเภทที่สอง คือกลุ่มสินค้าที่เคยมีพิกัดภาษีนำเข้าที่ร้อยละ 3 และ 5 จะถูกปรับให้เหลือ 0 คือการ “ปลอดภาษี” ไปเลยถึง 226 รายการ เช่น เชือก ลวด เครื่องสำรองไฟฟ้า แผงวงจร รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) ด้วย
สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น ในมุมหนึ่ง “ผู้บริโภคคนไทย” ได้ใช้ของถูกลง แต่ในอีกมุม “ผู้ผลิต” ในประเทศไทย จะเหนื่อยครับ เพราะต้องแข่งขันราคากับสินค้าจีน แม้จะมีข้อเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่ในวิกฤติก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่ต้องหาโอกาสนั้นให้เจอ
ยกตัวอย่างแรก กรณี “ยางรถยนต์” เดิมเป็นสินค้าอ่อนไหวสูงของจีนที่มีกำแพงภาษีถึงร้อยละ 20 แต่กำลังจะลดลงอยู่ที่ร้อยละ 5 หากรัฐบาลไทยเล่นเป็น ก็จะเป็นโอกาสดี ด้วยการดึงผู้ประกอบการยางรถยนต์รายใหญ่ มาตั้งฐานการผลิตหลักในไทย เพราะเรามีความพร้อมในฐานะประเทศที่เป็นต้นทางวัตถุดิบสำคัญอย่างยางพาราอยู่แล้ว ผลสำคัญที่จะได้ก็คือการพัฒนาราคาและตลาดยางไทย ด้วยการส่งออกสินค้าที่แปรรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ไม่ต้องส่งออกยางแผ่นหรือยางแท่งเหมือนแต่ก่อน
ตัวอย่างที่สอง ประเทศไทยเป็นที่ 1 ในอาเซียน เรื่องส่งออกรถยนต์ถึงปีละ 3.8 ล้านคัน และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่คาดการณ์ว่าจะโตขึ้นถึง 14% โดยตลาดอันดับหนึ่งที่ไทยส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนระบบสันดาปเชื้อเพลิงอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีสัดส่วนจำนวนรถยนต์ถึง 1 ใน 3 ของโลก
แต่ถ้าจะฝากอนาคตกับตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาในระยะยาว มีปัญหาแน่ๆ เพราะกลุ่มประเทศความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA: North America Free Trade Area)ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก โดยหลักการเค้าจะซื้อขายกันเองภายในปลอดภาษี แต่ถ้าซื้อขายนอกนาฟต้าก็โดนภาษีเต็มๆ เช่น บังคับให้รถยนต์มีชิ้นส่วนจากใน 3 ประเทศกลุ่มนาฟต้า ที่ร้อยละ 62.5 จากชิ้นส่วนทั้งหมด จึงจะถือว่าผลิตใช้กันเองและได้รับการปลอดภาษี
จะเห็นได้ชัดว่าเป็นความพยายามกีดกันชิ้นส่วนจากนอกประเทศ และแค่นี้ประเทศไทยเรายังพอทนได้ แต่หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ได้ประกาศจะเพิ่มเงื่อนไขการค้าเสรี ยกตัวอย่างกรณีรถยนต์ ที่จะต้องมีชิ้นส่วนจากประเทศกลุ่มนาฟต้าที่ร้อยละ 85 และยังมีนโยบายกีดกันชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศกลุ่มนาฟต้ากันเองอีก ว่าจะต้องประกอบด้วยชิ้นส่วนของสหรัฐอเมริการ้อยละ 50 ที่เหลือร้อยละ 35 เป็นของเม็กซิโก แคนาดา ไปแบ่งกันเอง...ว่ากันง่ายๆ สหรัฐอเมริกาพยายามกีดกันทั้งประเทศนอกและประเทศกลุ่มนาฟต้าด้วยกันเอง เลยกลายเป็นยุ่งเลยทีนี้ แม้ว่านโยบายนี้ยังไม่ได้ใช้บังคับ แต่คงใกล้เต็มที่แล้ว
เช่นนั้นแล้ว ถึงเวลาที่ไทยต้องรีบใช้โอกาส FTA อาเซียน - จีน ที่จะลดภาษีนำเข้า รถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนวงจร แบตเตอรี่ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ไทยปรับตัว จากเดิมที่เน้นขายชิ้นส่วนรถแบบสันดาปเชื้อเพลิงเพื่อส่งไปสหรัฐอเมริกา มาเป็นขายชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อบุกตลาดจีนที่ธุรกิจด้านนี้กำลังโตเร็วมาก เพราะรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเป็นเทรนใหม่ที่เปลี่ยนโฉมโลก เราจึงไม่ควรตกรถไฟขบวนนี้
กลับมาดูที่ความพร้อมของประเทศเรา ตอนนี้มีความพยายามผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor)ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถนนมอเตอร์เวย์ ทางรถไฟรางคู่ สนามบินอู่ตะเภา ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดถึง 15 ปี การให้วีซ่าทำงานได้ถึง 5 ปี รวมถึงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ร้อยละ 17 ซึ่งต่ำที่สุดในอาเซียน สำหรับผู้บริหารชาวต่างชาติ ของบริษัทที่มาตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ ว่ากันก็คือ เราพยายามดึงดูดนักลงทุนอย่างเต็มพิกัด ... แต่คำถามคือ เราจะได้อะไรจากโครงการนี้ คำตอบก็คือ “FTA อาเซียน – จีน” นี่ไงครับ ที่จะเป็นโอกาสเพื่อดึงดูดให้มาตั้งฐานการผลิตในไทย ไม่ว่าจะเป็นฐานผลิตยางรถยนต์ ฐานผลิตชิ้นส่วนหรือประกอบรถยนต์ไฟฟ้า ถึงเวลาแล้วที่ตลาดส่งออกไทยจะต้องเป็นตลาดที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า ไม่ใช่แค่ส่งออกวัตถุดิบ หรือใช้แรงงานค่าแรงต่ำเหมือนแต่ก่อน
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวกับ FTA เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป (EU) ส่งสัญญาณพร้อมติดต่อทางการเมืองทุกระดับกับประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกการเจรจาในประเด็นที่มีความสำคัญร่วมกัน เพราะเขาเชื่อว่าเราจะเลือกตั้งเดือนพ.ย. 2561 เชื่อว่าพลเอกประยุทธ์จะรักษาสัญญาเรื่องการเลือกตั้ง แต่สหภาพยุโรปก็มีเงื่อนไขว่า การลงนาม FTA ร่วมกัน จะเกิดขึ้นหลังได้รัฐบาลเลือกตั้งเท่านั้น
เรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ไทยโดนตัดสิทธิพิเศษด้านภาษี (GSP) กับอียู เนื่องจากธนาคารโลกจัดให้ไทยอยู่กลุ่มประเทศรายได้ระดับปานกลางค่อนข้างสูง กระทบต่อการส่งออกสินค้าหลายรายการที่ต้องกลับมาเสียภาษีในอัตราปกติ โดยเฉพาะกุ้ง เครื่องปรับอากาศ ยานยนต์ขนส่ง ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญที่ต้องเสียสิทธิพิเศษด้านภาษีไป ฉะนั้นแล้ว ต้องเร่งตกลง FTA ลดภาษีนำเข้ากับยุโรปในเร็วที่สุดเพื่อทดแทนสิทธิพิเศษ GSP ที่หายไป
การส่งสัญญาณของสหภาพยุโรปแม้จะเป็นเพียงแค่บอกว่า “เราคุยกันได้ แต่ยังไม่เซ็นสัญญา FTA จนกว่าจะมีรัฐบาลประชาธิปไตย” ก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของไทยแล้ว ที่รัฐบาลทหารปัจจุบันต้องตื่นตัวเพื่อเตรียมการเจรจา และเตรียมความพร้อมในผลกระทบอื่นๆ ที่จะตามมาด้วย
หวังว่ารัฐบาลจะเตรียมพร้อมรับมือกับการเปิดการค้าเสรีให้เหมาะสม...โอกาสนำมาซึ่งโชคลาภ หรือหายนะอยู่ที่เราเตรียมตัว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี