สวัสดีปีใหม่คุณผู้อ่านประจำคอลัมน์การเมืองเรื่องเงินๆทุกท่านครับ
ปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่การเมืองยังคงอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากจะโฟกัสเรื่องการเมืองก็คงต้องรอความชัดเจนอีกหลายอย่างจากทางฝั่งรัฐบาลคสช.รวมถึงรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกหลายๆ ฉบับที่ตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่า จะออกมามีโฉมหน้าแบบไหนอย่างไร
ฝั่งเรื่องเงินๆ นั้น ถ้าจะแยกส่วนเป็นเศรษฐกิจในส่วนที่เป็นการกระตุ้นภาคการใช้จ่ายลงทุนของภาครัฐ เขาก็บอกว่า ปีนี้ 2561 จะเป็นปีที่มีการลงทุนสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐานมากมาย จากทั้งกระทรวงคมนาคม และกระทรวงอื่นๆ ที่จะเป็นการลงทุนระดับย่อยๆ ในภูมิภาคต่างๆ
ส่วนฝั่งเรื่องเงินๆ อีกข้างที่แข็งแกร่งชัดเจนไม่ว่าจะมีอุปสรรคต้องฟันฝ่ามามากน้อยเพียงใด กี่ยุคกี่สมัย วิกฤติการเงินระดับโลกก็เจอมาแล้ว 2 ครั้ง วิกฤติการเมืองฝ่าการปฏิวัติรัฐประหารมาแล้วก็หลายรอบ “ภาคเอกชนไทย” คือพระเอกในการทำพาเศรษฐกิจของประเทศนี้อย่างแท้จริง
ปีใหม่นี้เปิดมาอู้ฟู่ไปตามๆ กันกับตลาดเงิน ตลาดทุน ซึ่งก็คือตลาดหุ้นนี่แหละครับ บางคนเรียกว่าเป็น January Effect แต่ก็มีปัจจัยอีกหลายหลากที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมาถึงวันนี้ได้
วันนี้ครับ คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีคลังโลกในปี 2010 และคุณบรรยง พงษ์พานิช จะมาเล่าให้ฟังถึงความอู้ฟู่ที่ว่านี้ว่า มันเป็นอย่างไร มีประวัติความหลังกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ถึงไหน และการตีความของความอู้ฟู่ที่ว่านี้ก็ยังมีความน่าเป็นห่วงยังไง เชิญเลยครับ
คุณกรณ์ได้เขียนลงเฟซบุ๊คของท่านชื่อ KornChatikavanij เอาไว้ในหัวข้อชื่อ “หุ้นทุบสถิติใครรวย-ใครจน?”
เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2537 เป็นวันที่มีการซื้อขายหุ้นวันแรกของปี ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปสูงสุดที่ 1753.73 ซึ่งคืนวันนั้นผมต้องไปออกรายการโทรทัศน์เพื่อพยากรณ์ทิศทางตลาดหุ้นในปีนั้นทั้งปี
ก่อนออกหน้าจอผมปรึกษากับทีมงานว่าเอาไงดี ช่วงนั้นเรามองว่าเศรษฐกิจเริ่มมีสภาพ ‘ฟองสบู่ก่อตัว’อย่างชัดเจน (สภาพคล่องล้น ทำให้มีการลงทุนที่มีผลตอบแทนตํ่าลงเรื่อยๆ ฯลฯ) เราเลยตกลงกันว่า ผมควรฟันธงไปเลยว่าวันนี้ หุ้นพีคแล้ว จากนี้ทั้งปีจะอยู่ในช่วงขาลง...ไม่ได้คิดเลยว่า จะแม่นยำขนาดนั้นหุ้นลงต่อเนื่อง 3 ปี จนฟองสบู่แตกโพล๊ะช่วงต้มยำกุ้งร่วงลงมาเหลือ 200 กว่า และค่อยๆ ปรับกลับขึ้นมาตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจจนถึงวันนี้ เป็นตลาดหุ้นสุดท้ายในเอเชียที่ดัชนี
ฟื้นคืนสู่ระดับก่อนวิกฤติครั้งนั้น
ไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลานานจนผมได้ขายบริษัทค้าหุ้นผมไปแล้วเกือบ 20 ปี ก่อนมาอาสาลงสมัครเป็นสส. จนได้มีโอกาสมาทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีและเจอการปฏิวัติไปสองรอบ ระหว่างนั้นยังได้พบภรรยามีลูกด้วยกันสองคน และตอนนี้ลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้วทั้งคู่
ที่น่าสนใจคือ ตลาดหุ้นไทยเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจชนชั้นนำไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ ที่ดีเพราะเมื่อ 20 ปีที่แล้ว “ต้มยำกุ้ง” คือฝันร้ายของเศรษฐี แต่เป็นยุคทองของเกษตรกร ราคาข้าวในตลาดโลกคิดเป็นดอลลาร์ ดังนั้นเมื่อคำนวรกลับเป็นเงินบาท ราคาเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว (เนื่องจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง) ในขณะที่ชาวไร่ชาวนา เขาไม่มีหนี้เป็นเงินต่างประเทศเหมือนนายทุน และไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นเงินดอลลาร์ เพราะนอกจากต้องเติมน้ำมันแล้วไม่ได้ซื้อของนอก
มาถึงวันนี้สถานการณ์กลับกัน หุ้นดี บริษัทใหญ่กำไรเยอะ คนรวยแฮปปี้ ทุกคนที่มีกองทุนบำเหน็จบำนาญที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นก็มีส่วนได้ประโยชน์ แต่ราคาพืชผลและรายได้คนไทยส่วนใหญ่ไม่ดีขึ้น การที่หุ้นขึ้นจึงไม่ได้เป็นข่าวดีของคนไทยส่วนใหญ่
ช่วงนี้เศรษฐกิจระดับบนฟื้น ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจควรหันกลับมาดูแลผู้ประกอบการรายเล็กและเศรษฐกิจฐานรากมากขึ้น
.....................................................................................
ส่วนคุณบรรยง ขยี้ลงไปในรายละเอียดของแต่ละยุคว่า...หุ้นไทยทำสถิติใหม่ในปีนี้สื่อถึงอะไรบ้าง...
3 ม.ค.2561 แค่วันเทรดแรกของปี ชาวหุ้นไทยก็ได้เฮดัชนีหุ้นไทยทะยานขึ้นปิดตลาดที่ 1,778.53 จุดทำลายสถิติสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ 1753.73 จุดในวันที่ 4 มกราคม 2537 ซึ่งก็เป็นวันซื้อขายแรกของปีนั้นเหมือนกันเลย
แต่เมื่อ 24 ปีก่อน การณ์กลับกลายเป็นว่า ชาวหุ้นได้ดีใจเพียงแค่วันเดียว พอวันรุ่งขึ้นถึงแม้ตอนแรกดัชนียังทะยานต่อไปจนถึง 1,789 แต่แล้วก็ดิ่งลงตั้งแปดสิบจุด ปิดวันที่ 1,709 จุด แล้วหลังจากนั้นค่าดัชนีก็ดูจะวิ่งลงขาเดียวทำนิวโลว์แทบทุกเดือน จนสิ้นปี’37 ก็ปิดที่ 1,360 แล้วลงไป 1,280 ตอนสิ้นปี’38 พอสิ้นปี’39 ก็ลดฮวบไปเหลือแค่ 832 จุด มูลค่าหายไปถึงหนึ่งในสาม ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเรากำลังก้าวสู่วิกฤติต้มยำกุ้ง และพอหลังวิกฤติ ดัชนีก็ต่ำเตี้ยไม่เคยปิดปีสูงกว่า 400 จุดเลยไปตั้งหกปี จนกระทั่งปี 2546 ที่บวกไป 114% จาก 356 จุดตอนต้นปีไปปิดที่ 772 จุดตอนปลายปี หลังจากที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจใหญ่หลายแห่ง เพิ่มสินค้าไปกระตุ้นตลาด ซึ่งหลังจากนั้นตลาดหุ้นก็มาเจอมรสุมใหญ่อีกทีในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลก 2008-2009 ที่ทำดัชนีลงไปต่ำสุดที่ 450 จุดเมื่อสิ้นปี 2551 แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆ สิ้นปี’52 ก็กลับมาเป็น 735 จุด และหลังจากที่ประเทศใหญ่ทั่วโลกระดมอัดฉีดเงินภายใต้มาตรการ QEทั้งหลายแหล่ หุ้นไทยก็ไม่เคยปิดต่ำกว่า 1,000 จุดอีกเลย
ความจริงการที่ต้องใช้เวลาตั้ง 24 ปีกว่าจะทำลายสถิติได้นี้เป็นเรื่องที่แย่มากๆ นะครับ เพราะปกติตลาดหุ้นเป็นที่สะสมทุน บริษัทที่มีกำไรถึงจะแบ่งจ่ายเงินปันผลไปให้ผู้ถือหุ้นบ้าง แต่ก็มักจะเก็บไว้ในสัดส่วนไม่น้อย เพื่อลงทุนขยายกิจการ ประกอบกับยังมีเงินเฟ้ออีก เพราะฉะนั้นปกติดัชนีตลาดหุ้นควรเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4-5% ต่อปีโดยเฉลี่ยการที่เราต้องใช้เวลาตั้งกว่าสองทศวรรษ กว่าจะกลับมาที่ระดับเดิมได้นี่ ต้องบอกว่า เป็นสถิติห่วยแตกระดับโลกเลยทีเดียว ไม่ใช่เรื่องน่าฉลองแต่ประการใด แต่ถ้าคำนึงถึงความจริงที่ว่า ราคาหุ้นในปี 2554 ซึ่งเป็นสถิติเก่านั้นเป็นราคาฟองสบู่ ไร้สาระมากๆ กับหุ้นในตลาดวันนั้นกับวันนี้ มันเป็นองค์ประกอบที่แตกต่างกันมาก หุ้นใหญ่ๆอย่างเช่น PTT, PTTEP, AOT ก็ยังไม่อยู่ในตลาดด้วยซ้ำ Market Cap วันนั้น ก็ไม่ถึงสองล้านล้านบาท เทียบกับปัจจุบันกว่า 18 ล้านล้าน มันคนละเรื่องกัน สรุปว่า สำหรับผม การทำลายสถิติคราวนี้ มีความหมายน้อยมาก
แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายปีหลังนี้ ใครจะบ่นว่า เศรษฐกิจต่ำเตี้ย ย่ำแย่แค่ไหน ตลาดหุ้นก็ดูเหมือนจะขึ้นเอาขึ้นเอา จนระดับราคาเพิ่มได้ถึงสองเท่าจากกลางปี 2553 ในเวลาแค่เจ็ดปีครึ่ง ซึ่งถ้ารวมกับเงินปันผลแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นในเจ็ดปีครึ่งนี้ เท่ากับให้ผลตอบแทนประมาณ 13% ต่อปีทีเดียว ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เศรษฐกิจไทยเติบโตแค่เฉลี่ย 4.5-5% ต่อปีเท่านั้น(อัตรา nominal นะครับ อัตราแท้จริงแค่ 3%)นี่ทำให้ผมกังวลถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะตามทฤษฎีของ Thomas Piketti ในหนังสือ Capitlal in the twenty-first century อธิบายชัดว่า ตราบใดที่ r>g (ผลตอบแทนของทุนสูงกว่าการเติบโต) ในที่สุดคนรวยจะเอาทุกอย่างไปหมด ซึ่งของเราไม่ใช่สูงกว่าเท่านั้น แต่สูงกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว นั่นเลยไม่แปลกใจที่คนส่วนใหญ่บ่นถึงเรื่องอัตคัดฝืดเคือง ทั้งๆที่ชาวหุ้นต่างมั่งคั่ง เฟื่องฟู เพราะคนกว่าห้าสิบล้านคนแทบไม่ได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาหุ้น และก็ไม่แปลกใจที่ทำไมเด็กรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยถึงใฝ่ฝันอยากยึดอาชีพเล่นหุ้นเป็นอาชีพหลักกันไปเลย หนังสือประเภทเซียนหุ้นรวยลัดตามแผงขายดิบขายดี นักลงทุนวีไอพีเป็นเซเลบฯ มีเวทีให้แสดงวิสัยทัศน์ หาเครือข่ายแมงเม่ากันทุกวี่วัน
แต่ใช่ว่าโครงสร้างตลาดหุ้นจะไม่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเสียเลยนะครับ ในปี 2560 ที่ผ่านมา เป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ 42 ปี ของตลาดหลักทรัพย์ไทยเลยทีเดียว ที่การซื้อขายของนักลงทุนบุคคลธรรมดาน้อยกว่า 50% คือ น้อยกว่านักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศรวมกับการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งนี่นับเป็นนิมิตรหมายอันดี เพราะนักลงทุนกลุ่มหลังนั้นถือเป็น “ทุนคุณภาพ” ที่มีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ ในการควบคุมไม่ให้ทรัพยากรไหลไปสู่ภาคส่วนที่มีประสิทธิภาพต่ำ และควบคุมมาตรฐานบรรษัทภิบาลได้ดีกว่านักลงทุนบุคคลธรรมดาที่ขาดทั้งความรู้ ข้อมูล และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ
ในฐานะที่เป็นคนตลาดทุนที่มี ฉันทะ (passion) ต่อตลาดทุนมากว่าสี่สิบปี ผมขอยืนยันว่าถึงแม้ตลาดจะมีส่วนไม่น้อยที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ได้สร้างความเจริญมาไม่น้อยเช่นกัน ช่วยระดมทุนมากว่าสามล้านล้านเพื่อก่อให้เกิดการลงทุนทางเศรษฐกิจ ระดมทุนให้รัฐวิสาหกิจเกือบสี่แสนล้านบาท แบ่งเบาภาระงบประมาณได้มาก และการที่ตลาดไทยเป็นตลาดเปิด ทำให้นอกจากจะได้เงินทุนเข้าประเทศ เรายังได้มาตรฐานบรรษัทภิบาลการบริหารจัดการตลอดไปจนกดดันให้เพิ่มเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อแข่งขันแย่งชิงเงินทุน
แม้วันนี้ตลาดทุนไทยยังมีความเปราะบาง ยังมีเรื่องฉ้อฉลปะปนอยู่บ้าง แต่ก็นับได้ว่าพัฒนามาได้ไกลมาก และทำประโยชน์ให้กับประเทศมาไม่น้อย นับเป็นตลาดทุนชั้นแนวหน้า มาตรฐานสูงเทียบกับตลาดเกิดใหม่ทั้งหลาย ก็เป็นเรื่องที่ “ชาวหุ้น” ทั้งหลายจะต้องมุ่งมุ่นพัฒนากันต่อไป
อย่าลืมหน้าที่หลักของตลาดทุนที่ต้องทำหน้าที่ “รวบรวมจัดสรรและติดตามดูแลให้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจสามาถสร้างผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจ” นะครับ
ขอให้ “ชาวหุ้น” ทุกคนโชคดีตลอดปี 2561 ให้ดัชนีทำนิวไฮหลายๆ ครั้ง นะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี