3 ปีกว่าแล้วที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ พร้อมกับความหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นการปฏิรูปในด้านต่างๆโดยรัฐบาลคสช. จนนำไปสู่การมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 20 ที่ผ่านการทำประชามติ และบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่มีการบัญญัติ “หมวดการปฏิรูปประเทศ” เอาไว้
“ปฏิรูปการเมือง” หัวใจสำคัญถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 258 “ให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมคัดเลือกผู้เข้ามาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” โดยมีการออกกฎหมายลูกกำหนดรายละเอียด คือ กฎหมายพรรคการเมือง กำหนดให้ต้องมีการทำ “ไพรมารีโหวต” คือ ให้สมาชิกพรรคในแต่ละเขตเลือกตั้ง เลือกผู้สมัคร สส.ในเขตของตนเอง ไปแข่งกับผู้สมัคร สส.พรรคอื่นในวันเลือกตั้งใหญ่ คือเป็นการทำให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชน เป็นการปฏิรูปการเมืองใหม่ และแน่นอนว่าไปสู่การเลือกตั้งแบบใหม่
เมื่อผู้บริหารประเทศถูกถามถึง เมื่อไรจะได้เห็นการเลือกตั้งที่ได้ออกแบบไว้ ก็มักจะได้คำตอบว่า “ทุกอย่างจะเป็นไปตามโรดแมปจที่วางไว้” ซึ่งหลายครั้งกำหนดการเลือกตั้งก็จะถูกเลื่อนเวลาออกไป อย่างกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติลงมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ชุดนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ จนต้องตั้งคณะกรรมการชุดของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ มาร่างใหม่ บวกกับการเพิ่มขั้นตอนทำประชามติอีก จนหลายๆ คนถามหาความชัดเจนของโรดแมปสู่การเลือกตั้งที่ไม่มีความแน่นอน จนกระทั่งต้นเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ประกาศว่า จะมีการเลือกตั้งภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 นี้ จนเกิดบรรยากาศที่สร้างความมั่นใจมากขึ้น ตั้งแต่ตลาดหุ้นที่ทะลุ 1,700 จุดในทันที, องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปลดธงแดงประเทศไทย ให้ประเทศต่างๆ กลับมายอมรับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทยอีกครั้ง, รวมถึงสหภาพยุโรป (EU) ที่พร้อมจะกลับมาติดต่อกับประเทศไทยเพื่อเจรจาในประเด็นสำคัญต่างๆ
ทุกอย่างดูเหมือนจะดี เริ่มมีทิศทางและระยะเวลาที่ชัดเจน มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ตั้งแต่ 8 ตุลาคม 2560 เพื่อให้พรรคการเมืองเตรียมความพร้อมทำตามกฎหมาย ได้ปฏิรูปโครงสร้างพรรคของตน เพื่อรองรับการทำไพรมารีโหวต ที่มีหัวใจคือ “สมาชิกพรรค” ที่มีสิทธิเพิ่มขึ้นคือ สิทธิเลือกคัดตัวผู้สมัคร สส.เอง
ตารางเวลาเลือกตั้งตามโรดแมปถูกทำลาย เพราะ คสช. ไม่ได้ใช้เงื่อนเวลาตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง นั่นคือไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง แล้วนักการเมืองที่เรียกร้องให้ปลดล็อกก็จะถูกมองว่ากระเหี้ยนกระหือรือเลือกตั้ง
จนมาช่วงกลางเดือนธันวาคม พรรคการเมืองบางพรรคโดยเฉพาะพรรคขนาดใหญ่ เริ่มแสดงความมั่นใจว่าสามารถสำรวจสมาชิกได้ทันกรอบเวลาภายในต้นเดือนมกราคม ตามเงื่อนไขในกฎหมายพรรคการเมือง แต่สถานการณ์ก็กลับมาพลิกผันอีก เมื่อหัวหน้า คสช. ออกคำสั่งที่ 53/2560 ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2560 ให้แก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง ที่เพิ่งประกาศใช้เพียง 2 เดือนเศษ
เรื่องมันเลยกลายเป็น “หักลำทางการเมือง” เพราะคำสั่งที่ออกมา อ่านดูแล้วเหมือนปลดล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้ แต่หากอ่านให้ลึก จนเข้าใจเกมส์ของผู้ร่างคำสั่ง ที่ใช้ทักษะภาษาชั้น “เหยียบเมฆ” มันคือการล็อกพรรคการเมืองไว้ต่อไปจนถึง 1 เมษายน 2561 และถึงตอนนั้นก็ดำเนินกิจกรรมได้บางอย่างเท่านั้น การประชุมใหญ่และจัดตั้งสาขาพรรค ยังต้องรอให้ คสช.พิจารณาปลดล็อกพรรคการเมืองอีกทีหนึ่ง ถือเป็นการตอกย้ำการทำลายโรดแมปที่วางไว้ การกำหนดวันเลือกตั้งยังไม่มีความแน่นอนใดๆ ทั้งสิ้น
ใจความสำคัญ คือการแก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง ให้สมาชิกพรรคการเมืองทำหนังสือยืนยันสถานะความเป็นสมาชิกภายใน 30 วัน ซึ่งก็คือสิ้นเดือนเมษายน 2561 หากไม่ทันกรอบเวลาให้ “สิ้นสภาพสมาชิกพรรคการเมือง”ทันที ซึ่งจะทำให้พรรคการเมืองมีสมาชิกน้อยลงมาก การมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรคการเมืองก็จะน้อยลงไปด้วย และจะเป็นอุปสรรคต่อการทำไพรมารีโหวต หากเขตเลือกตั้งนั้นๆ มีสมาชิกไม่เพียงพอ
ไพรมารีโหวตที่ออกมาก็จะเป็นแบบลวกๆ เพราะสถานการณ์จะบีบให้พรรคการเมืองใช้เงื่อนไขตามบทเฉพาะกาลของกฎหมายพรรคการเมืองว่าเพียงแค่สาขาหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดแห่งเดียว ก็สามารถจัดทำไพรมารีโหวต ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ทุกเขตในจังหวัดนั้นได้ ในการเลือกตั้งครั้งแรกทำให้ สส.ชุดแรกที่เราจะได้ ไม่ใช่ สส.จากการปฏิรูปการเมืองตามหลักที่ตั้งใจไว้ เพราะไม่ได้เป็นผู้แทนจากสมาชิกพรรคการเมืองในเขตนั้นๆ
เสียดายการปฏิรูปการเมือง ตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่ผ่านการประชามติของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง และระบบไพรมารีโหวตในกฎหมายพรรคการเมือง ถูกทำลายลงไปด้วยคำสั่งที่ออกมา
คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับนี้ เผินๆ ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่หากอ่านให้ถี่ถ้วนแล้ว คำสั่งนี้เป็นคำสั่งที่ให้สมาชิกพรรคการเมือง ต้องสมัครใหม่หมด ว่ากันง่ายๆ ก็คือการ “รีเซตสมาชิกพรรคการเมือง” ทั้งหมด แล้วให้มาสมัครใหม่ภายใน 30 วัน โดยไม่มีข้อผ่อนปรน แม้แต่กรณีเจ็บป่วย พิการ หรือพำนักอยู่ต่างประเทศ น่าจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 26 ด้วย เพราะเป็นตรากฎหมายที่เพิ่มภาระจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ เพราะว่าเขาเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากกลับมาสมัครใหม่อีก
และที่เนติบริกรผู้หนึ่งอ้างว่า ต้องการแก้ไขปัญหาคนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองซ้ำซ้อน ก็ไม่จริงเพราะมาตรา 26 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง กำหนดขั้นตอนสำรวจความซ้ำซ้อนของสมาชิกพรรคการเมือง ให้เป็นหน้าที่ของเลขาธิการ กกต. สมทบด้วยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร
กรรมการการเลือกตั้ง ได้แถลงว่า “ความซ้ำซ้อนของสมาชิกพรรคการเมืองไม่มีอยู่จริง” เพราะระบบของ กกต. ไม่สามารถให้บุคคลเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้มากกว่า 1 พรรคอยู่แล้ว ... เรื่องนี้จึงไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้นในการออกคำสั่งนี้
การรีเซตสมาชิกพรรคการเมือง จะเป็นการเพิ่มภาระแก่ประชาชนในการที่ต้องมายื่นเอกสารสมัครใหม่ เป็นการสร้างขั้นตอนอันเป็นอุปสรรคแก่ประชาชนในการไปใช้สิทธิไพรมารีโหวต เลือกผู้สมัครสส.ในเขตเลือกตั้งของตนเองเพื่อไปแข่งกับผู้สมัครจากพรรคอื่นในการเลือกตั้งใหญ่ทั่วไป
คำสั่งหัวหน้า คสช. ตามอำนาจมาตรา 44 จะมีศักดิ์และสิทธิ์เหนือกว่ารัฐธรรมนูญ 2560 และกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจที่จะเกิดการตีความในศาลรัฐธรรมนูญ และต้องรอดูว่าในสัปดาห์นี้จะมีผู้ยื่นตีความหรือไม่... แต่ใจหนึ่งก็คิดว่า หากมีการ
ยื่นคำร้องไป เรื่อง “เวลา” เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าพิจารณากันจนเลยวันที่ 1 เมษายน 2561 ก็คงไม่เกิดประโยชน์ เพราะถือว่าการยืดระยะเวลาโรดแมปออกไปสำเร็จแล้ว
ผมมีความคาดหวังเช่นเดียวกับคนไทยทุกคน ที่อยากเห็นการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง ในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนี้ เพราะทุกอย่างเริ่มจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่วางไว้ดีแล้ว แต่กลับต้องมาสะดุดหยุดลง ด้วยลีลาภาษาแบบ“เนติบริกร” ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 ที่ยังล็อกไม่ให้จัดประชุมพรรคการเมือง ซึ่งจำเป็นต่อการคัดเลือกตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทั้งที่ผู้นำเอ่ยปากไปแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 และสุดท้ายจะทำให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ทัน ระยะเวลา ต้องเลื่อนออกไป เท่ากับว่าโรดแมปที่วางไว้ ถูกทำลายด้วยคำสั่งฉบับนี้ ดับความหวังการปฏิรูปการเมืองที่ใครๆ หลายคนต่างคาดหวังไว้ จึงเข้าทางกับสำนวนที่ว่า “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” เสียเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี