แม้ 4 ปีภายใต้อำนาจรัฐคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)จะอยู่ในภาวะขาลงที่ต้องเผชิญวิกฤติศรัทธาในหลายเรื่อง ขณะที่กองหนุนลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างไรประชาชนก็อยู่ในภาวะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า และอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขเพราะยังขยาดกับวิกฤติความรุนแรงทางการเมืองที่สร้างความชอบช้ำให้กับประเทศอย่างหนักมาตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา จึงยังไม่ออกมาแสดงพลังโห่ไล่อำนาจรัฐคสช. และด้วยเหตุนี้ที่ทำให้แผนสุมไฟ “14 ตุลาฯโมเดล” ของขบวนการหน้าเดิมที่ตั้งหน้าตั้งตาจ้องล้มอำนาจรัฐคสช.ด้วยการนัดชุมนุมแสดงพลังหลายครั้งที่ผ่านมากร่อยโหรงเหรง
จากการนัดชุมนุมแสดงพลังครั้งแรกอย่างเป็นทางการที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมาของกลุ่มอยากเลือกตั้งโดยอาศัยแกนนำนักศึกษาขาประจำอย่าง นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ“จ่านิว” กับ นายรังสิมันต์ โรม เป็นตัวชูโรง และพยายามจะยกระดับจุดกระแสไปในหลายจังหวัดโดยก่อนหน้านี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แผนสุมไฟ“14 ตุลาฯโมเดล”ไม่มีวี่แววว่าจะจุดติดเพราะขาดความชอบธรรมและประชาชนรู้ทันว่าเป็นการเคลื่อนไหวของขบวนการหน้าเดิมๆที่มี
เป้าหมายแอบแฝงเพื่อให้พรรคบางพรรคที่เคยเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติกลับมามีอำนาจทำร้ายประเทศ
ล่าสุดความพยายามที่จะจุดกระแส “14 ตุลาฯ โมเดล”ของขบวนการหน้าเดิม ด้วยการนัดแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ก็มีผู้เข้าร่วมแค่หลักร้อยคนโดยครั้งนี้มี นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อแม้ว เข้าร่วมด้วย ขณะที่ “จ่านิว” เจ้าเก่าปราศรัยให้นักศึกษาประชาชนมาให้เต็มสนามฟุตบอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 ในการนัดแสดงพลังครั้งต่อไป
ข้อน่าสังเกตก็คือช่วงหลังมักจะได้ยินคำพูดของแกนนำพรรคเพื่อแม้วหลายคน อาทิ นายวัฒนา หรือ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ออกมาส่งสัญญาณเป็นนัยว่า หากประชาชนหมดความอดทน อำนาจรัฐคสช.ก็อาจจบแบบไม่สวย
ขณะที่มีรายงานข่าวว่าบรรดาอดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง อดีตสส.พรรคเพื่อแม้วทั่วประเทศและบรรดาพันธมิตรโดยเฉพาะสำนักจานบินเตรียมระดมสาวกเพื่อออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะแยกกันเดินแต่ร่วมกันตีโดยมีเป้าหมายคือ ล้มอำนาจรัฐคสช.
ข่าวบางกระแสระบุว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงมีการประเมินการออกมาเคลื่อนไหวสุมไฟ “14 ตุลาฯโมเดล” ด้วยการชูประเด็นเร่งให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขัดกับพฤติกรรมการของกลุ่มเคลื่อนไหว เพราะยิ่งสุมไฟให้เกิดความปั่วนป่วนยิ่งจะทำให้อำนาจรัฐคสช.มีข้ออ้างในการยืดการเลือกตั้ง จึงทำให้สงสัยว่าขบวนการป่วนเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวช่วงนี้น่าจะมีเป้าหมายแอบแฝงที่แท้จริงมุ่งที่จะสุมไฟให้เกิดสงครามประชาชนเพื่อล้มอำนาจรัฐคสช.
ทั้งนี้ขบวนการจ้องล้มอำนาจรัฐคสช.อาจประเมินแล้วว่า ด้วยหลายปัจจัยแม้จะมีการเลือกตั้งบ่งชี้แล้วว่าถึงอย่างไรพรรคฝ่ายขบวนการจ้องล้มคงไม่มีโอกาสได้กลับมามีอำนาจ และแนวโน้มอาจจะต้องเป็นฝ่ายค้านอีกหลายปีจนมีหวังตายซาก ดังนั้น จึงไม่มีทางเลือกต้องเปิดศึกแตกหักโค่นอำนาจรัฐคสช.ให้ได้ด้วยสงครามประชาชน
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการสุมไฟหวังจุดกระแสสงครามประชาชนจ้องล้มอำนาจรัฐคสช.ภายใต้แผน “14 ตุลาฯโมเดล” ยังมองไม่เห็นแนวโน้มว่าจะจุดติดเพราะจุดขายในการปลุกกระแสมวลชนยังไม่โดนใจประชาชนทั้งประเทศ
ทั้งนี้ 2 จุดอ่อนอันตรายสำหรับอำนาจรัฐคสช.ก็คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานรากปากท้องของประชาชนและการทุจริตคอร์รัปชั่น
เรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานรากนั้นยังไม่เป็นจุดอ่อนถึงขั้นอันตรายสำหรับอำนาจรัฐคสช. เพราะรัฐบาลแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหาช่วยเหลือคนยากจนและผู้มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรที่ตกต่ำเริ่มดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัวอย่างน่าพอใจต่อเนื่องซึ่งส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากด้วย
แต่ที่เป็นจุดอันตรายของอำนาจรัฐคสช.อย่างแท้จริงก็คือเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นที่นับวันจะก่อให้เกิดวิกฤติศรัทธาเพราะคนสำคัญในอำนาจรัฐคสช.เริ่มมีพฤติกรรมส่อไปในทางไม่โปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การทุจริตในหน่วยราชการต่างๆยังมีโกงชาติปล้นแผ่นดินและเรียกเงินโต้โต๊ะแทบจะไม่ต่างจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งหากวันไหนที่มีการจับได้ชัดๆมากกว่าที่เป็นอยู่ว่าระดับบิ๊กในอำนาจรัฐคสช.มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตแล้วมีการพยายามปกป้องพวกเดียวกันเองนั่นคือสัญญาณอันตรายที่จะเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนมีความรู้สึกร่วมอยากออกมาขับไล่อำนาจรัฐ
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี