“งานเข้า” ประชาชนที่จะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศซะแล้ว เมื่อนายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ออกประกาศกรมศุลกากรที่ 60/2561 เรื่อง การปฏิบัติพิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสาร ที่นำติดตัวเข้ามาหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพร้อมกับตนทางท่าอากาศยาน
ปกติขั้นตอนคือต่อคิวเช็คอินออกตั๋วโดยสาร แสดงหนังสือเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ตรวจค้นสัมภาระตามมาตรฐานรักษาความปลอดภัย แต่ประกาศกรมศุลกากรที่ 60/2561 ได้เพิ่มขั้นตอนที่จะเป็นภาระให้กับคนไทยอีก คือ ถ้าเราจะเอาของใช้ส่วนตัวไปใช้ต่างประเทศ เช่น นาฬิกา กล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ คอมพิวเตอร์พกพา จะต้องแจ้งกับพนักงานศุลกากร ที่ห้องทำการศุลกากรบริเวณห้องผู้โดยสารขาออกก่อน โดยต้องแสดงของที่จะเอาไป แสดงเครื่องหมาย เลขหมาย (Serial number) แล้วยังจะต้องถ่ายภาพสิ่งของที่เราจะเอาไปอีก 2 ชุด ให้กับพนักงานศุลกากร เพื่อออกหลักฐานที่เรียกว่า “ใบรับแจ้งของมีค่าที่ผู้โดยสารนำติดตัวออกไป” เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันตอนเดินทางกลับมาประเทศไทย ว่าของที่เราเอาติดตัวไปเป็นของที่เราใช้และเป็นเจ้าของตั้งแต่ก่อนออกเดินทางอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียอากร
ขากลับเข้าประเทศ ปกติจะมีการตรวจสัมภาระ 2 ช่องทาง คือ กรณีสิ่งของต้องเสียอากร ให้เข้า“ช่องแดง”ที่เขียนว่า “มีของต้องสำแดง” โดยจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่หากไม่มีสิ่งของที่เข้าข่ายให้ตรวจสอบให้เข้า “ช่องเขียว” ที่เขียนว่า “ไม่มีของต้องสำแดง” ซึ่งจะสุ่มตรวจสอบสัมภาระของผู้โดยสารบางคน ปกติคนส่วนใหญ่ก็จะเข้าช่องเขียวกันหมด ซึ่งเชื่อว่าจากนี้ไปหลายคนจะต้องเดินเข้าช่องแดง
ถ้าเราไม่แจ้งยืนยันสิ่งของที่เราเอาติดตัวไปนอกประเทศ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งของที่ใช้ตามปกติอยู่แล้วจึงไม่แจ้งสำเนารูปภาพก่อนออกนอกประเทศ ขากลับเข้าประเทศไทยเมื่อเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรตรวจพบโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน กล้องถ่ายรูป แท็บเลต ที่เราพกไปด้วย รวมทุกอย่างแล้วมูลค่าเกิน 20,000 บาท ซึ่งไม่มีใบรับแจ้งว่าเป็นสิ่งของที่เรานำติดตัว ผลคือ “มีโอกาส” เดินเข้าช่องเขียวแล้วจะโดนปรับและแถมถูกดำเนินคดีอาญา แต่ถ้าเดินเข้าช่องแดง เจ้าหน้าที่จะมีดุลยพินิจตัดสินว่าไอโฟน กล้อง นาฬิกาของเรา ที่ไม่ได้แจ้งสำเนารูปถ่ายไว้ก่อนตอนออกนอกประเทศเนี่ย ควร
เสียภาษีมั้ย เพราะให้แจ้งแล้วไม่แจ้ง ก็เข้าข่ายต้องสงสัย เจ้าหน้าที่สามารถประเมินภาษีใหม่ โดยให้เราชำระภาษีอากรที่จุดตรวจได้ โดยชำระเป็นเงินสด หรือจะรูดจ่ายผ่านบัตรเครดิตก็ได้ เอาเข้าไปครับ...เรื่องนี้มันแปลกจริงๆ Thailand Only
พอกระแสต่อต้านมากเข้า กรมศุลกากร ก็แก้เกี้ยวชี้แจงโดยสรุปว่า หลักเกณฑ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เป็นแนวทางปฏิบัติมานานแล้ว โดยเพิ่งออก พ.ร.บ.ศุลกากร ปี 2560 ประกาศใช้แทน พ.ร.บ.ศุลกากร ปี 2469 จึงต้องออกประกาศกรมศุลกากรทั้งหมดใหม่อีกครั้ง แต่หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติยังเหมือนเดิม
ทีนี้มาเจาะในรายละเอียดกัน พบว่าของใช้ส่วนตัวที่จะนำเข้ามาในประเทศ กติกามันอยู่ที่ 2 หมื่นนานแล้วก็จริง แต่ประเด็นที่ติดใจคือ ประกาศกรมศุลกากร 60/2561 มันคือประกาศใหม่ที่เพิ่งเขียนขึ้นสดๆ ร้อนๆ โดยมีผลเมื่อ 26 ก.พ. 2561 ซึ่งก็ประกาศแล้วตกยุคเลยทันที เพราะมูลค่ายอดรวมของใช้ส่วนตัวอยู่ที่ 2 หมื่นบาทเท่านั้น ทำให้ประชาชนเกือบทุกคนผิดกฎหมายทันที เช่น สมาร์ทโฟน 1 เครื่อง ใน พ.ศ.นี้ ทำได้ทั้งเป็นคอมพิวเตอร์พกพาและโทรศัพท์ด้วย ราคาเท่าไรเข้าไปแล้ว นี่ไม่รวมกล้องถ่ายรูป นาฬิกาข้อมือแบบธรรมดาสักเรือน นี่มันปี 2561 แล้วครับ อุตส่าห์ออกประกาศใหม่ก็แล้ว แต่ทำไมกลับไปใช้หลักเกณฑ์โบราณ
ย้ำประเด็นอีกทีว่า ประเด็นของใช้ส่วนตัวนำเข้าได้ไม่เกิน 2 หมื่นบาท ดูให้ดีว่าประกาศนี้เป็นกฎหมายลูกออกตามความกฎหมายแม่คือ พ.ร.ก.พิกัดศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 4 ประเภท 5 ระบุว่า เรื่องของใช้ส่วนตัวที่นำเข้าต้อง “พอสมควรแก่ฐานะ” โดยจะคิดเป็นจำนวนมากน้อยเท่าไรให้เป็นไปตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
ปัญหามีว่าเมื่อปลายเดือนที่แล้วนี่เอง ขีดเส้นใต้ 500 ครั้ง “เมื่อปลายเดือนที่แล้ว” ใน พ.ศ.2561 นี้ ท่านอธิบดีเพิ่งลงนามออกประกาศนี้ จึงตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจาก “ใน พ.ศ.2561 ของใช้ส่วนตัวที่จะติดตัวมูลค่ารวมทั้งหมดไปต่างประเทศได้ ที่สมควรแก่ฐานะคือไม่เกิน 2 หมื่นบาท”
ดังนั้น จึงเป็นการผลักดันประชาชนด้วยความกลัว ทำให้ประชาชนต้องไปเสียเวลาแจ้งส่งสำเนาภาพถ่ายของใช้ส่วนตัวต่อพนักงานศุลกากรที่สนามบินนั่นเอง และทิ้งให้เป็นดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ศุลกากรตัดสินชี้ขาดว่าจะมีความผิดหรือไม่ ทำแบบนี้คือเขียนกฎให้เกือบทุกคนผิดหมด แต่มีเจ้าหน้าที่มาสั่งชี้ถูกชี้ผิด ผมว่าวางระบบแบบนี้มันไม่ถูกต้องนะครับ
ประกาศฉบับนี้มันมีปัญหา ฝืนธรรมชาติ ทำให้ทุกคนผิดหมด โดยปล่อยเป็นดุลยพินิจเจ้าหน้าที่ศุลกากรชี้ขาด นี่มันวิธีคิดแบบไทยแลนด์ 4.0 หรือ 0.4 กันแน่
แต่ตราบใดประกาศเจ้าปัญหาฉบับนี้ยังคงใช้อยู่ ชีวิตของพวกเราก็คงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ศุลกากรว่าจะปรานีหรือไม่ ถ้าปล่อยก็โชคดีไป ถ้าเขามองใครแล้วไม่ชอบขี้หน้าก็ซวยไป ยังไงราคาของในตัวก็เกินแน่ๆ ขอสรุปว่าใครใช้ “ไอโฟน” เชิญ “ช่องแดง” ส่วน “ซัมซุง ฮีโร่” เชิญ “ช่องเขียว”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี