ว่าด้วยชื่อคอลัมน์ของผมกันสักหน่อยก่อนจะเข้าเรื่องครับ
มีหลายท่านถามมาอยู่ว่าทำไมต้องใช้ชื่อว่า “การเมืองเรื่องเงินๆ” ขออนุญาตชี้แจงโดยสังเขปตรงนี้ว่า.. เมื่อครั้งแรกที่ได้โอกาสจากทางแนวหน้าให้เขียนคอลัมน์ประจำนั้นก็ได้คิดอยู่นานว่า ควรจะเป็นชื่อคอลัมน์ว่าอะไรดี
เลยคิดว่าความตั้งใจนั้นคือจะทำเรื่องที่ตัวเองคลุกคลีและถนัดในการย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่ายนั่นคือเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจ ตัวเลขงบประมาณ ตัวเลขในระบบการคลังและการเงินตามนโยบายการเงินการคลังของประเทศของเรา ไม่ว่าจะโดยแบงก์ชาติหรือกระทรวงการคลัง
รวมไปถึงการช่วยชี้แจงแจกแจงรายละเอียดของเม็ดเงินที่ใช้ไปแล้วมีการโกงกินการทุจริตเกิดขึ้นให้ได้เข้าใจกันอย่างทั่วถึงว่า เม็ดเงินที่โกงกิน เม็ดเงินที่ใช้ไป เม็ดเงินที่ควรนำมาช่วยเหลือประชาชนในรูปแบบของเงินภาษีนั้น มีเส้นทางที่มาที่ไปอย่างไร จึงเกิดเป็นชื่อคอลัมน์ตรงๆแบบนี้แหละครับว่า “การเมือง” ที่ว่าด้วยเรื่องของเงินทองงบประมาณภาษีการจัดสรรทรัพยากรต่างๆ
แล้วก็ขอวกเข้าเรื่องกันเลยครับ เห้อ! เหนื่อยใจกันเหลือเกินกับเรื่องราวการโกงเงินแผ่นดินในช่วงนี้
-------------------------
อันนี้ขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้คิดจะปกป้องรัฐบาลนี้แต่อย่างใด เพราะไม่ใช่หน้าที่ รวมถึงต้องการอย่างยิ่งให้รัฐบาลนี้กระชากตัวคนโกงที่อยู่ตามหน้าข่าวใหญ่แต่ละวันออกมาจัดการให้เหี้ยนเตียนเหมือนที่รัฐบาลจีนที่มีอำนาจเต็มเขาทำกัน
คือจากโพสต์คุณกรณ์ จาติกวณิช ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแกบอกว่า… “ช่วงนี้มีข่าวหนาหูเรื่องการทุจริตในระบบราชการทั้งในเรื่องที่เกี่ยวกับวัด โรงเรียน คนจน ผู้ป่วยเอดส์ ฯลฯ บางกรณีกินเปอร์เซ็นต์กันสูงถึง 80%
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า “ไม่มีนักการเมือง” ก็โกงได้ (และอาจจะน่ากลัวกว่าเพราะไม่มีฝ่ายค้านคอยจับผิด)”
การมีฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรอย่างที่ทุกท่านทราบดีครับ มีหน้าที่ตรวจสอบตามระบบรัฐสภาภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่สั่นคลอนง่อนแง่นบ้างในช่วงที่มีเผด็จการรัฐสภา (ซึ่งเป็นเผด็จการอีกรูปแบบหนึ่งที่มีจริง เห็นประจักษ์มานักต่อนัก ไม่ว่าจะลักหลับนิรโทษกรรมตี 4 หรือกล้าด้านไปเสียบบัตรแทนกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ) แต่ฝ่ายค้านก็ยังลากคนผิดมาเอาโทษได้ ไม่ว่าจะเป็นจำนำข้าว ที่เป็นคดีที่มาจากการทำงานของฝ่ายค้านที่ซักฟอกจนเรื่องไปถึง ป.ป.ช. ต่อไปศาล และพิพากษา จนคนผิดต้องหนีคุกบินไปอยู่เมืองนอก แต่ปัจจุบันนี้เมื่อมีทุจริตโดยตัว“ข้าราชการ” ซะเอง กลับทำอะไรแทบไม่ได้เลย แถมรัฐบาลยังใช้วิธี “ย้าย” แทนที่จะ “ไล่ออก” เสียด้วยซ้ำ เห็นแล้วก็เสียของเบาๆ เหมือนกันนะครับ น่าจะโชว์ไปให้เห็นเลยว่า เอาจริงกับเรื่องการปราบโกงแค่ไหน
เพราะไหนๆ ก็บอกว่า ข้าราชการในระบบเยอะเกินไป ใครโกงไล่ออกเลยก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการทั้งทำดี หรือทำไม่ถูกในช่วงนี้
คุณกรณ์แกย้ำไว้ว่า..การช่วยเหลือประชาชนยังจำเป็น แต่จากนี้ไปเราต้องพยายามช่วยโดยตรง ไม่ให้ผ่านมือข้าราชการ ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าข้าราชการไม่ดีหมด แต่ในทุกวงการเมื่อมีเงินผ่านมือ “คนกลาง” เมื่อไรเป็นยุ่งทุกที
ที่บ้านผมจะโดนภรรยาดุเสมอทุกๆ ครั้งที่ผมวางเงินสดหรือกระเป๋าตังค์ไว้ที่โน่นที่นั่น ภรรยาผมจะพูดว่าเราไม่ควรไป “ยั่ว” ให้เด็กที่บ้านต้องมีกิเลสเพราะโดยธรรมชาติคนส่วนใหญ่ไม่ขี้ขโมยแต่ทุกคนมีความอ่อนไหวและความต้องการ ดังนั้นอย่าไปเปิดช่องให้คนดีกลายเป็นโจร
แม้ในสมัยที่เราเป็นรัฐบาลเราพยายามใช้หลักการนี้มาตลอด เช่น การช่วยเหลือชาวนาเราใช้ “ประกันรายได้” โอนเงิน “ส่วนต่าง” ตรงเข้าบัญชีชาวนาไม่ผ่านมือใคร
หรือตอนเราช่วยผู้มีรายได้น้อยเราทำ “เช็คช่วยชาติ” โอนตรงให้ผู้รับเงินไม่ต้องผ่านหน่วยราชการ
หรือแม้แต่เรียนฟรีเราโอนค่าชุดนักเรียนให้ผู้ปกครองไปซื้อเองไม่เปิดโอกาสให้มีการทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง
โครงการเหล่านี้มีข้อบกพร่องไม่ใช่ไม่มีแต่อย่างน้อยการรั่วไหลแทบไม่มีโอกาสเพราะเราจ่ายตรงไม่ผ่านมือใคร
ยิ่งด้วยเทคโนโลยีระบบพร้อมเพย์ของรัฐบาลเองและการยืนยันตัวเองด้วยอีเลคโทรนิค (e-KYC)
คุณกรณ์ สรุปทั้งหมดนี้ไว้ว่า ...ไม่เห็นว่าทำไมเงินยังต้องผ่านมือข้าราชการมากถึงขนาดนี้
การปราบโกงมีเรื่องต้องทำหลายระดับขึ้นอยู่กับว่าเอาจริงแค่ไหนครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี