นี่เป็นหนึ่งในหัวข้อเศรษฐกิจยุคใหม่ของการก้าวสู่การเป็น “ประชาธิปัตย์ยุคใหม่” ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ ก่อนเปิดให้สมาชิกพรรคเดิมเข้ายืนยันตัวตน เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา
หลายครั้งที่เกิดคําถามในหัวของประชาชนว่า ทุกครั้งเวลาที่รัฐบาลพยายามแถลงข่าวว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ตัวเลขการส่งออกโตมากขึ้น มีโครงการ Mega Project หลายโครงการ มีการกระตุ้นการลงทุนให้สิทธิพิเศษต่างๆ แก่ภาคเอกชน แต่ทำไมประชาชนกลับไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นตามที่รัฐบาลบอกแม้แต่น้อย ... นั่นเป็นเพราะตัวชี้วัดและการทำเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ ไม่สะท้อนความเป็นจริงของประชาชน
ดังนั้นการจะบริหารเศรษฐกิจเพื่อตอบสนองปัญหาของประชาชนในยุคใหม่ จึงไม่สามารถวัดได้ด้วย GDP เพียงอย่างเดียวแล้ว แต่จะต้องมีตัวชี้ให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างไร เพื่อนำมาซึ่งนโยบายและโครงการที่ตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนที่ยากจน
นอกจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของประชาชนแล้ว เรายังต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มาอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ นั่นคือการมาของ “ปัญญาประดิษฐ์”
“ปัญญาประดิษฐ์” (Artificial Intelligence : AI) แปลความหมายตรงตัวคือ ความฉลาดเทียมที่สร้างขึ้นให้กับสิ่งไม่มีชีวิต ที่ทำให้นวัตกรรมต่างๆสามารถทำงานจนไปถึงตัดสินใจและวิเคราะห์แทนคนได้ สามารถเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และวิธีการคิดคำนวณขั้นตอนวิธี (Algorithm) ได้อย่างแม่นยำมากกว่า ... นั่นหมายความว่าความมั่นคงด้านแรงงานและอาชีพของมนุษย์กำลังจะถูกแทนที่จากการพัฒนานวัตกรรม AI
ผมเองได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ใน จ.ระยอง พบว่าในแต่ละยูนิตของโรงงานประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือการบรรจุ เก็บสินค้า เตรียมพร้อมส่ง ส่วนใหญ่มีการใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนคน เริ่มตั้งแต่งานประเภทที่ทำซ้ำๆ ซึ่งหลายโรงงานวางเป้าหมายเรื่องการลดคนงานให้น้อยลง
ในแต่ละเดือน ลดคนงานได้เท่าไหร่ ถือเป็น KPI อย่างหนึ่ง ที่ใช้ชี้วัดการประสบความสำเร็จของธุรกิจ
แม้กระทั่งการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน สมัยก่อนต้องจ้างตัวแทนค้าหุ้นหรือโบรกเกอร์เก่งๆมาดูจังหวะเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น แต่ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Robo หรือ Robot ที่แปลว่าหุ่นยนต์ เข้ามาแทนที่สามารถวิเคราะห์กราฟได้เลยว่า หุ้นจังหวะนี้เวลานี้ จะต้องซื้อหรือต้องขาย
ไม่จำเป็นต้องรอถึงอนาคต แค่ปัจจุบัน AI ก็เข้ามามีบทบาทอย่างสูงตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตไปจนถึงภาคการเงินแล้ว ไม่ใช่แค่ประชาชนทั่วไป แม้แต่คนที่อยู่ในวิชาชีพชั้นสูงยังมีความสุ่มเสี่ยงต่อภาวะ “ตกงาน”
ด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงแบบนี้ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่รวดเร็ว “หลักประกันและความมั่นคง” จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุด และคำตอบของโจทย์นี้คือคำว่า “สังคมสวัสดิการ” และ “หลักประกันรายได้ขั้นพื้นฐานของประชาชน”
“หลักประกันรายได้ขั้นพื้นฐาน” (Universal basic Income : UBI) คือแนวคิดการจัดสรรรายได้ขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนทุกคน ให้ได้รับรายได้ขั้นพื้นฐานต่อการดำรงชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เกี่ยวกับรายได้จากการทำงาน ... นั่นหมายความว่าถ้าเราตกงาน อย่างน้อยก็จะได้เงินก้อนนี้อยู่เพื่อการดำรงชีวิต
แนวคิดที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอนั้นสอดรับกับบุคคลสำคัญระดับโลกที่ต่างตระหนักว่า UBI เป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะในอนาคตที่หุ่นยนต์จะมาแย่งงานของมนุษย์มากไปกว่าครึ่ง
นายอีลอน มัสก์ บอสใหญ่แห่ง Tesla บอกไว้ว่า “หุ่นยนต์จะฉลาดขึ้น จนเราจะมีงานที่ทำได้ดีกว่ามันน้อยลงๆ ทุกที เราทุกคนจะถูกท้าทายด้วยปัญหาการว่างงานครั้งใหญ่ จนสุดท้าย Universal Basic Income จะกลายเป็นเรื่องจำเป็น”
ในกรณีของประเทศฟินแลนด์มีการจ่ายรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน ให้กับประชาชน ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าครองชีพแล้วถือว่าเป็นเงินจำนวนน้อย เพราะฐานความคิดของ UBI ไม่ต้องการให้ประชาชนนอนตีพุงอยู่กับบ้านแล้วใช้เงินสวัสดิการไปวันๆ แต่ต้องการให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้แม้อยู่ในภาวะตกงาน จนกว่าจะตั้งหลักได้และกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในที่สุด เพราะยังไงก็เชื่อว่า “งาน” นอกจากจะสร้างรายได้แล้ว ยังสร้างคุณค่าของความเป็นมนุษย์
แม้แต่ในประเทศแคนาดา ก็เคยทดลองทำ UBI แจกเงินประชาชนในรัฐแมนิโทบา ระหว่างปี 1974-1979 สามารถลืมตาอ้าปากบนเส้นความยากจนได้และมีงานทำมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และอีกหลายประเทศ เช่น อินเดีย หรือเคนยา ก็มีมูลนิธิมา
ทดลองแจกเงินให้ประชาชนบางพื้นที่ด้วยสมมุติฐานว่า UBI อาจทำให้คนสามารถพ้นจากความยากจนได้ แม้จะเป็นการทดลองในประเทศด้อยพัฒนาก็ตาม
แต่การจะให้ UBI ประสบความสำเร็จและสามารถทำได้ในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องบูรณาการทั้งระบบการออม และระบบภาษี ไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งค่านิยมนโยบายแบบประชานิยม หรือประชารัฐ
แบบแจกฟรี กระตุ้นเศรษฐกิจแบบชั่วคราว ยังเป็นที่เคยชินมานาน ประเด็นมีว่าผู้บริหารคนไหนใจถึงอดทนกัดฟัน มองกาลไกล ไม่ฉาบฉวย และต้องทำให้ประชาชนเห็นชัดๆ ว่าเสียภาษีไปแล้วจะได้อะไรกลับคืนมา เราคนไทยเราถึงจะมีโอกาสได้เห็น “การประกันรายได้ ที่เพียงพอและพอเพียง”
ถ้าเรามาเริ่มต้นใหม่ ด้วยการสร้างวิธีคิดใหม่ ว่าการเสียภาษี การออมเงิน จะทำให้เกิดสังคมสวัสดิการในอนาคต ทุกคนมี UBI หรือการประกันรายได้พื้นฐานร่วมกัน ก็เชื่อว่าการปรับโครงสร้างภาษีจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน... ไม่ใช่เอาภาษีประชาชนไปใช้จ่ายเพื่อทำคะแนนหาเสียงทางการเมืองในช่วงสั้นๆ
ขอย้ำนะครับว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายแค่ดูแลผู้สูงอายุในบั้นปลายเท่านั้น แต่มันหมายถึงทุกคนไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคน หรือวัยชรา จะต้องมีหลักประกันที่มั่นคง ท่ามกลางความท้าทายทางเทคโนโลยี ที่อาจจะทำให้เราไม่มีงานทำได้ นั่นหมายความว่า “เราจะอยู่ได้ แม้จะต้องตกงานเพราะหุ่นยนต์”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี