หลังจากคณะทหารทั้งรสช.และคสช.ก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลระบอบ ทักษิณ ชินวัตร 2 ครั้ง ในวันที่ 19 กันยายน 2549 และวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 กลุ่มประชาชนฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณรัฐบาลจอมโกงงบประมาณที่ประกอบด้วย อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อดีตอาจารย์ มหาเศรษฐี เศรษฐี คนชั้นกลาง และกลุ่มแกนนำสมาคมศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยโรงเรียนชั้นนำที่มีชื่อเสียงรวมทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พลเรือนทั่วประเทศได้มาคิดเหมือนๆ กันว่า
การป้องกันไม่ให้นักการเมืองขี้โกงกลับมาใช้เงินฟาดหัวซื้อเสียงชนะเลือกตั้งได้อย่างไร ซึ่งต้องยอมรับว่า ระบอบทักษิณได้สร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองของเราอย่างมากมายทีเดียวคิดเป็นวงเงินมหึมามหาศาลนับล้านล้านบาท จนนับกันไม่ถ้วนว่าโกงไปได้เท่าไหร่กันแน่ เอาแค่โครงการรับซื้อผลผลิตอย่างข้าวและผลไม้อย่างลำไยอบแห้งนั้นมีปริมาณเงินมหาศาล
การป้องกันนักการเมืองโกงในอนาคตไม่ให้นำเอาภาษีของมหาเศรษฐี เศรษฐี ข้าราชการทุกเหล่าทุกๆ สายไปใช้อย่างไม่มีความละอายต่อบาปบุญคุณโทษก็ต้องออกพระราชบัญญัติขึ้นมาป้องกันในระยะยาวนั้น คือ พระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ของชาติ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2560 ถึงปี 2579
โดยในวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทรงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่าโดยเป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติรวม 29 มาตรา ขึ้นหลังจากนั้นเป็นเวลา 10 เดือน ได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีขึ้นและได้นำเสนอร่างไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาตินำไปพิจารณาแล้ว
ร่างพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งมาที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้สมาชิกสภาได้พิจารณาแก้ไขทักท้วงหรือเพิ่มเติมเช่นเดียวกับพ.ร.บ.ทุกๆ ฉบับ
พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาประเทศชาติ มีความมั่นคง ประชาชนมีความสุข มีการยกระดับศักยภาพในหลากหลายมิติ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีคุณภาพ ตลอดจนมีการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมและมีการสร้างการเติบโต บนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นภาครัฐของประชาชนเพื่อประชาชนและยึดถือประโยชน์ส่วนรวม
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประกอบด้วย แกนหลักสำคัญของยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านความมั่นคง 2.ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน 3.ด้านการพัฒนาคนและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4.ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 5.ด้านการสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 6.ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
สมาชิกสภานิติบัญญัติทั้งหมดได้อภิปรายในสภาว่าสมาชิกได้ให้ความสนใจอภิปรายเรื่องนี้อย่างมาก ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างยุทธศาสตร์ชาติเพื่อแก้ปัญหากับดักทางการเมือง ที่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นโยบายต่างๆของรัฐบาลเก่าจะสะดุดหยุดลง ทำให้การพัฒนาประเทศไม่มีความต่อเนื่อง
รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม ได้ชี้แจงว่าเหตุผลที่จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้ประเทศมีเป้าหมายระยะยาว สำหรับร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีฉบับนี้ กำหนดกรอบการพัฒนาประเทศ 6 ด้าน แต่ละด้านนำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมากำหนดเพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 20 ปี อาทิ
ภายใน 20 ปี ต้องมีนักการเมืองคุณภาพ มีกลไกสร้างความปรองดองบ้านเมืองปลอดการทุจริต จังหวัดชายแดนภาคใต้มีสันติสุขปลอดภัย วางระบบการศึกษาใหม่เน้นวัดผลเชิงทักษะมากกว่าเกรดความรู้ กระจายความเจริญทางเศรษฐกิจ พัฒนาจังหวัดต่างๆ ให้มีความเจริญทัดเทียมกับกรุงเทพมหานคร
ซึ่งทั้งพรรคการเมือง และหน่วยงานรัฐต่างๆ มีหน้าที่ต้องดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ฉบับนี้ หากไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดทางอาญา และถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบให้พ้นจากตำแหน่งได้ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่นักการเมืองห่วงว่าจะไม่สามารถใช้นโยบายนอกเหนือจากยุทธศาสตร์ชาติในการหาเสียงนั้นขอให้ศึกษาพ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ละเอียดก่อน ซึ่งพ.ร.บ.เช่นนี้มีปรากฏในหลายๆ ประเทศ
พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะป้องกันนักการเมืองเข้ามาโกงได้ทั้งหมดหรือไม่ เป็นเรื่องที่มีการวิเคราะห์ว่าอาจจะป้องกันไม่ได้ทั้งหมด แต่การมีพ.ร.บ.ดีกว่าไม่มีและเป็นการปรามไม่ให้ระบอบอภิมหาโคตรโกงอย่างระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมืองอีก
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี