รายงานสถานการณ์ค้ามนุษย์ปี 2561 (Tip Report 2018) โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ประเมินให้ประเทศไทยอยู่ระดับ เทียร์ 2 (Tier 2) คือ ประเทศที่พยายามปรับปรุงแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยไทยกลับมายืนในระดับนี้ได้อีกครั้งเหมือนในปี 2552 หลังจากเคยอยู่จุดต่ำสุดในระดับเทียร์ 3 (Tier 3) คือประเทศที่ไม่พยายามจัดการปัญหาค้ามนุษย์ในปี 2557 - 2558 จากนั้นก็ขยับเป็นระดับเทียร์ 2 เฝ้าระวัง (Tier 2 Watch List) คือประเทศที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าพยายามต่อต้านการค้ามนุษย์ในปี 2559 และ 2560 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ หากไทยจะก้าวสู่ เทียร์ 1 (Tier1) เราจะต้องมีกฎหมายคุ้มครองเหยื่อการค้ามนุษย์ที่ดีขึ้นกว่านี้
วันนี้ไทยถูกยกระดับดีขึ้นเป็นเทียร์ 2 เพราะได้ดำเนินคดีและตัดสินความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์มากขึ้น รวมถึงปราบปรามเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ด้วย จุดเด่นสำคัญที่สุด การจัดการแรงงานต่างด้าวให้เข้าสู่ระบบ ถือเป็นมาตรการป้องกันและลดปัญหาการค้ามนุษย์ แรงงานผิดกฎหมายตามกระบวนการ นายจ้างจะมีแรงงานต่างด้าวได้ ต้องทำตามขั้นตอนที่ไทยทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ไว้กับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 ประเทศ ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า ด้วยการแจ้งจำนวนพร้อมสเปกของแรงงานที่ต้องการ แล้วแจ้งประเทศต้นทางแรงงาน เพื่อขอให้จัดหาแรงงานตามที่ได้ขอไป หากผู้จ้างฝั่งไทยตกลง ก็จะแจ้งกลับไปยังประเทศนั้นๆ เพื่อให้แรงงานไปขอวีซ่าทำงาน แล้วเดินทางผ่านชายแดนเพื่อตรวจวีซ่า ขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit)
แต่ปัญหาที่เราเผชิญอยู่คือ ธรรมชาติของแรงงานต่างด้าวจำนวนมากเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยผิดกฎหมายไม่ผ่านกระบวนการตาม MOU ถ้าจะจับส่งกลับหมด ก็จะกระเทือนตั้งแต่ภาคธุรกิจยันถึงครัวเรือน
ทางการจึงมีการผ่อนผันให้แรงงานกลุ่มนี้ ให้ไปดำเนินการให้ถูกต้อง โดยเริ่มในรัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาตรการให้ไปขึ้นทะเบียนออกบัตรชมพูชั่วคราว และรอการพิสูจน์สัญชาติออกเป็นหนังสือเดินทางของประเทศต้นทาง เมื่อยุบสภาไปแล้วเข้าสู่ ยุคนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้มีความคืบหน้ามากนัก จนมาสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วงต้นรัฐบาลได้นำมาตรการออกบัตรชมพูมาใช้ใหม่อีก และเมื่อปีที่แล้วได้เพิ่มมาตรการ“จับคู่ นายจ้าง - ลูกจ้าง” ด้วยการลงทะเบียนกับศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) 80 จุดทั่วประเทศ เพื่อสแกนม่านตาตรวจร่างกาย แสดงอัตลักษณ์บุคคล และต่อเวลาให้แรงงานกลุ่มนี้พิสูจน์สัญชาติและออกหนังสือเดินทาง โดยศูนย์บริการของประเทศลาว กัมพูชา พม่า ที่มาตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเส้นตายสุดท้ายที่แรงงานต่างด้าวต้องทำทุกขั้นตอนให้ถูกต้องตามกฎหมายคือ 30 มิถุนายน 2561
จากสถิติมีแรงงานต่างด้าวที่ต้องการลงทะเบียนผ่านศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จแล้ว 1,174,460 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2561) ส่วนการพิสูจน์สัญชาตินั้น คงเหลือที่ต้องพิสูจน์สัญชาติ 4,583 คน เป็นกัมพูชา 4,310 คน ลาว 273 คน
อย่างไรก็ตาม เมื่อครบกำหนดแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป แรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ดำเนินการใดๆ จะไม่สามารถอยู่ในประเทศได้ กระทรวงแรงงานโดยกรมการจัดหางานจะมีมาตรการจับกุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานจะมีโทษปรับ 5,000- 50,000 บาท และจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ห้ามขออนุญาตทำงานเป็นเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับโทษ ส่วนนายจ้างจะมีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อแรงงานต่างด้าวหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560
การที่สหรัฐอเมริกาประเมินขยับให้ไทยขึ้นเป็นเทียร์ 2 เป็นเรื่องที่น่ายินดี ซึ่งน่าจะทำให้การติดต่อเจรจาการค้าขายระหว่างกันดีขึ้น ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นคู่ค้ากับไทยใหญ่เป็นอันดับ 3 และเป็นประเทศที่ไทยได้ดุลการค้าสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง ความน่ายินดีนี้ต้องแลกมาด้วยมาตรการควบคุมแรงงานต่างด้าวที่เข้มงวดขึ้นด้วย งานนี้ถือว่าเป็นการเสียสละของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปที่ต้องไปเข้าคิวรอจดทะเบียนกันหลายชั่วโมง และไปกันหลายวันจนปวดหัว ผมขอให้กำลังใจทุกท่านครับที่ทำให้งานนี้ลุล่วงไปด้วยดี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี