บทความซีรี่ส์ตอน “ย้อนอดีตวิกฤติต้มยำกุ้งกับบรรยง พงษ์พานิช” ทางคอลัมน์การเมืองเรื่องเงินๆ แนวหน้าตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ นำมาเผยแพร่เพื่อตีแผ่เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมา 21 ปีก่อน จากประสบการณ์ทำงาน และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ จากบุคลากรคนสำคัญของประเทศไทยที่อยู่ในแวดวงนี้และยังคงคร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้อย่างต่อเนื่อง
เนื้อหาหลายอย่างเป็นเรื่องราวอินไซด์ที่ผมมั่นใจว่า คุณผู้อ่านจะสนุกไปกับประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเงินเรื่องนี้แน่นอนครับ
คุณบรรยง พงษ์พานิช อนุญาตให้ผมนำเรื่องราวนี้มาถ่ายทอดเป็นบทความต่อเนื่องในนสพ.แนวหน้าด้วยความยินดี หวังว่าจะมีประโยชน์และช่วยให้เรื่องราวในอดีตเรื่องนี้ เป็นบทเรียนและประสบการณ์สำคัญ ที่จะถูกจารึกไว้โดยคอลัมน์นี้ที่จะได้เป็นตัวกลางในการสื่อสารแก่คุณผู้อ่านทุกคนครับ
2 กรกฎาคม ปี’40 ผม (คุณบรรยง) ถูกโทรศัพท์ปลุกตั้งแต่ตีห้าครึ่ง โดยอาจารย์เปี๋ยม (ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ) โทรมาบอกว่า แบงก์ชาติปลุก CEO ธนาคารทุกคนให้ไปประชุมตอน 7 โมงเช้า น่าจะมีการลดค่าเงิน ปรากฏว่า อ.เปี๋ยม คาดผิดไปนิดหนึ่ง เขาไม่ได้ลดค่าเงิน แต่เขาลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งมันก็ลอยลง ลอยลง อย่างรวดเร็ว จาก 25 บาทต่อUS$ เป็น 40 เป็น 50 ไปโน่นเลย
นั่นเป็นฉากเริ่มต้นของหนังยาวที่ชาวไทยจำได้ดี เพราะเป็นหนังที่รวบรวมทั้ง drama, thriller, adventure, โศกเศร้ารันทด, สยองขวัญ ครบทุกรสชาติ (ยกเว้น comedy เพราะขำไม่ออกเลยจริงๆ)
เรามาย้อนดูอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้น หลายคนโทษพ่อมดการเงิน คุณพี่ Soros และชาวคณะ hedgefund ที่ทยอยโจมตีค่าเงินบาทหลายระลอก หลายคนโทษ ธปท.ที่ต่อสู้ยิบตาจนหมดหน้าตัก บางคนไพล่ไปโทษจีน ที่บิ๊กจิ๋วส่งคนไปขอยืมแค่หมื่นล้านเหรียญแล้วไม่ให้ มีแม้กระทั่งมาโทษผมว่าเป็นที่ปรึกษาควบรวม “ไทยทนุ-ฟินวัน” แล้วไม่สำเร็จ ฯลฯ
ทั้งหมดต่อจากนี้เป็นการวิเคราะห์และการเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ตรงโดยคุณบรรยง พงษ์พานิช และทีมงานบริษัทหลักทรัพย์ภัทร โดยมีการ Edit เป็น Version บทความโดย พัสณช เหาตะวานิช ครับ
“วิกฤติเศรษฐกิจ 2540 มีสาเหตุจากปัญหาการลงทุนผิดพลาดอย่างกว้างขวางทั่วไป ในระบบเศรษฐกิจไทย ในภาคเอกชน โดยใช้แหล่งเงินทุนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัญหาสะสมมากว่า 5 ปี (1991-1996)”
ความจริงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจนี้ ผมเล่ามาหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ จนแทบจะเป็นจุดขาย หลักอันหนึ่งของผม แต่วันนี้จะลองไล่ใน version ใหม่ โดยมุ่งประเด็นว่า ใครทำ ใครผิด
มันต้องเริ่มไปโทษโน่นเลยครับ คุณปู่ Reagan อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โรนัลด์ เรแกน กับ คุณป้า Thatcher อดีตนายกฯ หญิงอังกฤษ มาร์กาเรต แทตเชอร์ ที่ริเริ่มการ deregulation หรือผ่อนปรนระเบียบภาครัฐในเรื่องของการควบคุมด้านการเงินการลงทุน และโครงสร้างของระบบการเงิน ในช่วงต้นทศวรรษ 1980’s ทำให้เกิดการไหลเวียนของเงินทุนเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เป็นจุดเริ่มต้นของ Globalization
แล้วคุณปู่ Reagan ก็ทำผิดซ้ำซ้อน เพราะไป force ให้เกิด Plaza Accord ในปี 1985 ทำให้ ญี่ปุ่นถูกบีบให้ย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ เพราะค่าเงินเยน แข็งพรวดพราดจาก 300 มาเป็น 100 เยนต่อเหรียญ
ทีนี้ก็มาถึงคิวของป๋าเปรม กับ ปู่สมหมาย ที่ดันทำให้ประเทศมีเสถียรภาพทั้งการเมือง การคลัง และมีการพบก๊าซธรรมชาติอีกเยอะแยะ แล้ว อ.เสนาะ อุนากูล ก็ได้ผลักดันโครงการ Eastern Seaboard ได้สำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ
ด้วยเหตุนี้ญี่ปุ่นก็เลยทะลัก ย้ายฐานการผลิตเข้าไทยอย่างไม่บันยะบันยัง จนเกิดยุค “โชติช่วงชัชวาล” ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ (1986-1990) คุณบรรยงใช้คำว่า.. ไอ้พวกนักลงทุนสถาบันต่างชาติก็แย่ ตลาดหุ้นเราซบเซา เงียบสงบอยู่ดีๆ มาได้ 7 ปี หลังยุคราชาเงินทุน หุ้นราคาก็ดี P/E 3-4 ดันเข้ามาแย่งซื้อ หุ้นขึ้นอื้อ 60-70% ต่อปี ตลาดไทยเลยกลายเป็นแถวหน้าของ Emerging market ในช่วง 1986-1991
พวกเจ้าประคุณนักลงทุนไทยก็ช่างโลภมาก ลงแชร์แม่ชม้อย แม่นกแก้ว Charter อยู่ดีๆ ดันย้ายแห่ตามมาลงตลาดหุ้น จนแชร์แม่ๆ ลูกโซ่ขาด ล้มระนาวเดือดร้อนกันไปทั่ว ทางการไทยก็ได้ไปจัดตั้ง ก.ล.ต. ขึ้นในปี 1992 ทำให้เกิดความคาดหวังว่าระดับมาตรฐานตลาด บรรษัทภิบาล กฎเกณฑ์ต่างๆ จะถูกพัฒนาจนได้มาตรฐานสากล ฝรั่งเลยเกิดความมั่นใจ แห่ทะลักเพิ่มอีกหลายเท่าทวีคูณ
ทีนี้เงินท่วมโลกพยายามจะเข้าไทยที่เนื้อหอมสุดๆ ทำได้ไม่ค่อยสะดวก เพราะควบคุมจุกจิก รัฐบาลท่านชวน-ธารินทร์ ก็เลยผลิตนวัตกรรมสุดสร้างสรรค์ BIBF ขึ้นในปี 1993 นัยว่าเพื่อเป็นไปตามกระแสเปิดเสรี เงินให้กู้ (ส่วนใหญ่ระยะสั้น) ก็เลยไหลทะลักเข้าไทยอย่างล้นหลาม (โดยไม่ต้องพึ่ง QE) จนสิริรวมได้เกือบ หนึ่งแสนล้านเหรียญ ในปี1996 (เกือบเท่า GDP ตอนนั้น)
ตลาดหุ้นตัวร้ายก็ดันขยันสุดๆ ระดมทุนให้บริษัทไทยลงทุนได้มากมาย ตลาดแรกระดมได้ถึง เกือบล้านล้านบาท เลยเกิดเจ้าสัวไทยขึ้นอย่างมากมาย มีการลงทุนทุกหัวระแหง แทนที่จะต้องรอแต่ฝรั่ง ญี่ปุ่น นายแบงก์ ปูนฯ อย่างแต่ก่อน ในส่วนของคุณบรรยง และภัทรเอง ก็สามารถ underwrite หุ้นออกมาได้ตั้งเกือบ 500,000 ล้านบาท ในช่วง 1987-1996 แถมคุยโม้ว่าทำประโยชน์ ทั้งๆที่ไอ้ 500,000 ล้านนั้น มีค่าเหลือแค่ หนึ่งในสาม หลังเกิดวิกฤติ (ถ้าถามว่าใครมีส่วนร่วมทำให้เกิดวิกฤติบ้าง...คุณบรรยงแกก็ย้ำว่า…ผมก็จะยกมือสุดแขน ถามว่ามีส่วนพลาดไหม ยอมรับว่ามาก แต่ถ้าถามว่าทำชั่ว คิดชั่วไหม เถียงกันจนตายก็ไม่ยอมรับ)
ความจริงในช่วงประมาณ 1992-1993 ธปท.เคยเป็นห่วง เรื่อง overheat ของเศรษฐกิจถึงกับออกมาตรการจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อ แต่แป๊บเดียว ก็ถูกนักการเมืองขู่ เพราะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ไม่เติบโตเท่าที่ควร ก็เลยรีบถอนมาตรการแทบไม่ทัน เพราะกลัวโดนปลดเหมือนผู้ว่ากำจร สถิรกุล ที่บ้าหลักการไม่รู้กิ่วลู่ลม ตลาดหลักทรัพย์ก็กลัวไม่มีสินค้า อนุญาตให้อุตสาหกรรม
พื้นฐานเข้าตลาดได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เป็นแค่กระดาษ แผนการเท่านั้น เช่น เหล็ก ทองแดง ฯลฯ พวกนี้เป็น NPL 100% ในภายหลัง
เศรษฐกิจไทยก็เลยติดเทอร์โบ บูมสุดขีดในช่วง 1987-1995 อัตราเติบโต เฉลี่ยร่วม 10 เปอร์เซ็นต์ ทุกคนร่าเริงแจ่มใส ชี้นกเป็นเงิน ชี้ไม้เป็นทอง ทำอะไรก็กำไร ได้เงินง่ายๆ
ความจริงตัวเตือนก็ค่อนข้างชัด current account ของเราติดลบ 7-8% (แปลว่าใช้มากกว่าสร้าง) ต่อเนื่องมาหลายปี แต่ก็ถูก finance ด้วย เงินกู้กับเงินซื้อหุ้น อย่างที่บอกแหละครับ แล้วนักเศรษฐศาสตร์ระดับอาจารย์ ระดับโหรฯ อีกหลายท่านก็ออกมานั่งยัน ยืนยัน นอนยัน ว่าไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะเราเอามาลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องดี พอผลผลิตออก เราก็จะมั่งคั่ง คืนเขาแล้วยังจะเหลือเยอะ ถึงเวลาพ้นกับดักการพัฒนาเสียที เอ้าเฮ...ลงทุนเข้าไป
ทีนี้พอครึ่งหลังปี 1996 อาการชักออก ภัทรฯ (โดยคุณธีรพงษ์ วชิรพงษ์) ทำวิเคราะห์พบว่า บจ.ในตลาดฯ มีถึง กว่า 180 บริษัทที่มี EBITDA ต่ำว่าดอกเบี้ยจ่าย (แปลว่าดอกเบี้ยยังจ่ายไม่ได้เลยอย่าว่าแต่คืนเงินต้น NPLแหงๆ) รวมแล้วประมาณว่า 32% ของเงินกู้ของบริษัททั้งหมดจะเป็น NPL
สามพวกที่เห็นอาการก่อน คือ ธนาคารต่างประเทศที่ให้กู้ระยะสั้นเริ่มเรียกคืน นักลงทุนสถาบันต่างประเทศเทขายจนหุ้นตกระเนระนาดตั้งแต่ต้นปี 96 แล้วพวกนกแร้ง (Hedgefund) ก็เข้าโจมตีค่าเงินเป็นระลอก ตั้งแต่ปลายปี 96 สถาบันการเงินเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง คนขาดความมั่นใจ
เช่นทุกครั้งที่เริ่มเกิดวิกฤติ เราจะต้องตั้งสมมุติฐานก่อนว่าเป็นวิกฤติสภาพคล่อง (liquidity crisis) วิกฤติความมั่นใจ เลยต้องแก้โดยการอัดเงินสู้ เรียกร้องให้มั่นใจ ซึ่งก็เลยเรียกร้องได้แต่คนไทย ฝรั่งเขาไม่มั่นใจด้วย เช่น มี Economist ชั้นยอดของ CLSA วิเคราะห์ว่า ไทยไปไม่รอดแน่ ก็ส่งสันติบาลเข้าค้นบ้าน จะเนรเทศ จนเขาต้องเผ่น แล้วก็เลยโด่งดังระดับโลกในเวลาต่อมา The Economist ดันขึ้นหน้าปกว่า The Fall of Thailand เราก็ห้ามขายในประเทศ
แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงมันเป็นวิกฤติการดำรงอยู่ solvency crisis (เรียกง่ายๆ ว่าเจ๊งอย่างกว้างขวางแหละครับ) ถึงเวลาเงินก็หมดน่าตัก ความมั่นใจหลอกๆ ก็สร้างไม่ได้อีกต่อไป เอวังก็เกิดในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ไงครับ
ถามว่า แล้วอะไรมันผิดไป ทำไมนักเศรษฐศาสตร์ชั้นครูทั้งหลาย ที่ธปท. รวมทั้ง ท่านโหรศก.ทั้งหลายจึงดูไม่ออก
ผมยกให้ Fixed Foreign Exchange Rate เป็นผู้ร้ายอันดับหนึ่งของหนังเรื่องนี้
พอเราเปิดเสรีให้เงินไหลเข้ามาทุกทาง แต่ไม่เปิดเสรีค่าเงิน มันก็เลยบิดเบี้ยว Inflation ก็ไม่สูง เพราะพวก tradable goods ราคาไปตามตลาดโลก แต่เหมือนลูกโป่งแหละครับ พออัดเงินเข้า ราคาของ non-tradables ก็เกิดฟองสบู่ (ได้แก่ พวกอสังหา ค้าปลีก โรงพยาบาล infrastructure ฯลฯ) ก็เลยกำไรมาก การลงทุนภาคนี้พุ่ง
โดยใช้เงินกู้ระยะสั้นจากตปท.มาลงระยะยาวในกิจการที่ไม่มีรายได้ต่างประเทศ อุปสงค์แท้จริงก็ไม่มี ลงทุนไปเยอะ แต่ output ไม่เพิ่ม มันก็เลยเจ๊งไม่เป็นท่าอย่างที่เห็น ผมยังนึกขอบคุณคุณพี่ Soros อยู่เลย ถ้าท่านไม่มา เราอาจจะยื้อได้อีกพัก แต่สุดท้ายก็แป๊กอยู่ดีและจะเจ็บใหญ่ เจ็บหนักกว่านี้แน่นอน (นี่คือประโยชน์แท้จริงของ hedgefund คือช่วยตรวจ ช่วยปรับความผิดปกติในระบบเศรษฐกิจ)
ที่เขาว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ที่เกิดอย่างโด่งดัง เริ่มที่เรา แล้วเป็นโรคระบาดไปทั่ว เกาหลี มาเลย์ อินโด ฟิลิปปินส์ ติดโรคไปหมด จริงๆ แล้วไม่ใช่โรคระบาดหรอกครับ มันกินของแสลงเหมือนๆ กัน คือไอ้ fixed Exchange Rate นี่แหละครับ มันเลย “อาหารเป็นพิษ” ไปทั่ว
เห็นไหมครับ การไปบิดเบือนกลไกตลาดในบางครั้ง แม้จะทำโดยเจตนาดี เจตนาบริสุทธิ์ ก็สามารถทำให้เกิดผลร้ายได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
ต่อบทความ “ย้อนอดีตวิกฤติต้มยำกุ้ง กับบรรยง พงษ์พานิช (2)” ได้ในคอลัมน์การเมืองเรื่องเงินๆ ฉบับวันเสาร์หน้า 14 กรกฎาคม 2561 ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี