วันเสาร์ ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“รู้แล้วแก้อะไรได้บ้าง ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้น” “ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก็กินกันทั่วประเทศจะให้ทำยังไง” “โลกมันก็สีเทาแบบนี้แหละแค่อยู่ให้เป็น” ผู้อ่านเคยพบเจอหรือได้ยินประโยคเหล่านี้กันบ้างไหม ผู้เขียนมักจะเจอประโยคเหล่านี้ตามโพสต์ในเฟซบุ๊คที่รายงานเกี่ยวกับความล้มเหลวในการใช้งบประมาณก่อสร้างของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น ตึก อาคาร และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่สร้างมาแล้วไม่ได้ใช้งานถูกปล่อยทิ้งร้างหรือสร้างแล้วก็ไม่เสร็จสักที
ในช่วงนี้เพจที่ขับเคลื่อนด้านสังคม เช่น เพจชมรม Strong ต้านทุจริตประเทศไทย เพจต้องแฉ เพจปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน ฯลฯ ได้นำเสนอข้อมูลอาคารก่อสร้างที่ถูกทิ้งร้างในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย เช่น อาคารศูนย์ OTOP ในหลายจังหวัด สนามกีฬา ตึกอาคารเรียนในมหาวิทยาลัย ถูกสร้างด้วยงบประมาณมากกว่าหลักสิบล้านบาท จึงเกิดคำถามขึ้นในใจของผู้เขียนว่า แล้วงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ใช้ในการก่อสร้าง เงินที่มาจากภาษีของประชาชนได้ถูกดำเนินการใช้ไปอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์อย่างที่มันควรจะเป็นหรือไม่
อย่างไรก็ตามผู้เขียนไม่สามารถสรุปได้ว่าสิ่งก่อสร้างถูกทิ้งร้างเหล่านี้จะเกิดจากการทุจริตในกระบวนการงบประมาณหรือไม่ แต่เมื่อดูจากรายงานในปี 2564 ของสำนักงาน ป.ป.ช. พบว่า ความเสียหายของงบประมาณจากข้อร้องเรียน มีมูลค่ารวมถึง 26,883,583,750 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายของคดีทุจริตประเภทจัดซื้อจัดจ้างสูงถึง 8,773,668,079 บาท และประเภททุจริตในการจัดทำงบประมาณ/โครงการ/เบิกจ่ายเงินในโครงการเป็นเท็จ 5,837,687,275 บาท งบประมาณจำนวนมหาศาลเหล่านี้สูญสิ้นไปอย่างเปล่าประโยชน์ ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ในการดำเนินการก่อสร้าง การจัดทำโครงการมีไว้เพื่อแก้ไขปัญหา ตอบสนองความต้องการของประชาชน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับกลายเป็นช่องทางของเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง ซึ่งมันได้สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อระบบการเมืองการปกครอง ความศรัทธาและความเคารพจากภาคประชาชน จนท้ายที่สุดการกระทำเช่นนี้กลายเป็นเรื่องที่ ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น แต่รู้แล้วจะทำอะไรได้…
ถ้าได้อ่านมาถึงตรงจุดนี้ผู้เขียนจะขอตอบคำถามประโยคที่ว่ารู้แล้วเราจะแก้ปัญหา หรือป้องกันได้อย่างไร? โดยจะขอยกวิธีการแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของการบริหารงบประมาณของภาครัฐ และบริหารแบบมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน
ในส่วนของภาครัฐผู้เขียนจะขอยกข้อสรุปจากการบรรยายเชิงวิชาการงบประมาณภาครัฐ โดย ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2563) ได้ระบุถึงวิธีการแก้ไขปัญหาการบริหารงบประมาณของภาครัฐไว้ว่า ภาครัฐจำเป็นต้องประมาณรายได้ให้ถูกต้อง โดยตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นวิทยาศาสตร์ โดยผู้รับผิดชอบไม่ถูกกดดันและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกัน (Conflict of interest) และภาครัฐจำเป็นต้องจัดทำแผนงบประมาณด้วยความรอบคอบ มีเป้าหมายชัดเจน มีการวิเคราะห์ปัญหาโดยใช้ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ ผู้บริหารต้องเข้าไปร่วมจัดทำแผนงบประมาณ ประมาณค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องประเมินความพร้อมของโครงการ หน่วยงานให้ความเห็นชอบต้องรับผิดชอบอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ภาครัฐจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูล และรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการตัดสินใจในการจัดทำแผนงบประมาณ และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในส่วนของภาคประชาชน มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องปลูกฝังค่านิยมการไม่เพิกเฉยต่อการทุจริต สนับสนุนให้สังคมตื่นตัวต่อการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และมีความกระตือรือร้นในการติดตามการเปิดเผยข้อมูล เพื่อคอยสังเกตว่ามีการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการอะไรบ้าง ใช้งบประมาณเท่าไหร่ มีความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดหรือไม่ รวมถึงสอดส่องขั้นตอนในกระบวนการงบประมาณ เพื่อลดความเสี่ยงในการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ทว่าการมีความตื่นรู้และลงมือปฏิบัติอาจจะยังไม่เพียงพอ การมีเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์และตรวจสอบเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การบริหารแบบมีส่วนร่วมนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยผู้เขียนจะขอเสนอเครื่องมือที่ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้สร้างขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสของภาคส่วนต่างๆ และประชาชนให้มีบทบาท ในการร่วมแก้ปัญหาคอร์รัปชันให้มากขึ้น ได้แก่ ACT Ai เครื่องมือสู้โกงของภาคประชาชน เครื่องมือในการตรวจสอบข้อมูลโครงการที่อาจเกิดการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และเครื่องมือ Build Better Lives by CoST เครื่องมือที่จะทำให้ประชาชนสามารถตรวจสอบโครงการก่อสร้างของภาครัฐในพื้นที่ 20กิโลเมตรรอบตัวว่ามีอะไรบ้าง ใช้งบก่อสร้างเท่าไหร่ คุ้มค่ากับสภาพหน้างานหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ Corruption Watch จับตาไม่ให้ใครโกง และเครือข่ายสื่อภาคประชาชน เช่น เพจชมรม Strong ต้านทุจริตประเทศไทย เพจต้องแฉ เพจปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน ที่เป็นพื้นที่สำหรับรับแจ้งข้อมูลเมื่อเจอความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อจัดจ้างหรือพฤติกรรมที่ส่อการเกิดทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ
จากวิธีการข้างต้น การนำแนวคิดเรื่องธรรมาภิบาลมาปรับใช้จึงเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้ภาครัฐสามารถบริหารงบประมาณได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยภาครัฐจะต้องมีความรอบคอบในทุกขั้นตอนของกระบวนการงบประมาณและความรับผิดชอบ(Accountability) ต่อการตัดสินใจในการใช้งบประมาณ รวมถึงจะต้องเปิดเผยข้อมูลเพื่อสร้างความโปร่งใส (Transparency) ในการทำงานของภาครัฐ และสร้างการมีส่วนร่วม (Participation) จากภาคประชาชน ในส่วนของภาคประชาชนจะต้องตื่นรู้ในการป้องกันและตรวจสอบงบประมาณรายจ่าย นโยบาย และโครงการของรัฐ เพื่อช่วยกันปกป้องภาษีของตนเองและผลประโยชน์ของประเทศชาติ นอกจากจะเป็นพลเมืองตื่นรู้แล้วการลงมือปฏิบัติด้วยการมีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ก็จะสามารถเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการติดตาม ตรวจสอบ และลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการทุจริตได้เช่นกัน ดังนั้นการบริหารแบบมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนก็จะสามารถส่งผลให้การบริหารงบประมาณของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเช่นกัน เพื่ออนาคตข้างหน้าจะไม่มีคำตอบว่า “รู้แล้วทำอะไรได้ใครเขาก็รู้กันทั้งนั้น” แต่จะเปลี่ยนเป็น “รู้แล้วว่าต้องทำยังไง และเราจะร่วมด้วยช่วยกัน”
รักษ์ป่า อู่สุวรรณ HAND Social Enterprise

ตร.กางแผน รุกฆาต ยาเสพติด ปูพรมค้นทั่วไทยกว่า 2,500 จุด ยึดยาบ้า 16.9 ล้านเม็ด
รวบแล้วแม่ใจยักษ์วัย 19 ปี เอาลูกทิ้งใต้ถุน ปล่อยตัวเงินตัวทองรุมแทะ
ราชกิจจาฯ เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกา เรียกประชุมสมัยวิสามัญ 10 ธ.ค.นี้
นายกฯ ลุยเขต 8 หาดใหญ่ ชาวบ้านร้องไม่มีรถ-เรือช่วยอพยพหนีน้ำท่วม อนุทิน ยกมือไหว้ ‘ขอโทษด้วย’
แฉคาหนังคาเขา มือดีฉวยเบียร์ยี่ห้อดังจากซากน้ำท่วม โพสต์ขายขวดละ25บ.

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี