nn ทุกเส้นทางของการพัฒนาพลังงานทั่วโลก กำลังมุ่งหน้าสู่การใช้ “พลังงานทดแทน” เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการนำไปใช้เพื่อผลิตไฟฟ้า เพื่อทดแทนพลังงานที่มาจากฟอสซิล ซึ่งเป็นเหตุผลหลักของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ กับการเผชิญสภาวะโลกที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น
ทำให้สถาบันการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศต่างๆ รวมทั้งไทย ได้พยายามคิดค้นเครื่องมือ และเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาถูก เพื่อตอบสนองต่อการบริโภค ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ภาคครัวเรือน และการขนส่ง
แม้ว่ากระแสการใช้พลังงานทดแทนของไทยกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคเศรษฐกิจทั้งระบบ เห็นได้จากการส่งเสริมของภาครัฐ ในการพัฒนาแหล่งผลิต พลังงานทางเลือกที่สะอาด ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ที่สามารถนำมาใช้อย่างไม่มีวันหมด (Renewal Energy) ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ พลังงานชีวมวล ซึ่งพลังงานทดแทนเหล่านี้ ยังเป็นตัวช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างที่โลกต้องการ แต่แหล่งผลิตพลังงานเหล่านี้ ไม่สามารถควบคุมการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยข้อจำกัดการเป็นแหล่งเชื้อเพลิงจากธรรมชาติ ทำให้มีการเร่งคิดค้นเทคโนโลยี และนวัตกรรมพลังงานขึ้นมา ที่เรียกกันว่า ระบบกักเก็บพลังงาน หรือ Energy Storage System (ESS) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้สามารถกักเก็บไว้ เพื่อการใช้งานในเวลาอื่นที่จำเป็นได้
ความก้าวหน้าของการนำนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในประเทศไทย กำลังเกิดขึ้น และรอผลลัพธ์ที่จะกำลังจะตามมา หลังจากการเดินหน้าของ ปตท. ร่วมกับ GPSC หรือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) แกนนำธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. ในการเดินหน้าโครงการ “วิจัยและพัฒนาโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบ (Pilot Plant) ด้วยเทคโนโลยีเซมิ-โซลิด (Semi-Solid)” เป็นนวัตกรรมกระบวนการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบใหม่ของ บริษัท 24 M Technology ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ GPSC เข้าไปร่วมลงทุน การเดินหน้าพัฒนาโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบเพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี ทั้งด้านเทคนิคและเชิงเศรษฐศาสตร์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการต่อยอดในการจัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในเชิงพาณิชย์ต่อไป
ความร่วมมือครั้งนี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของไทย ที่จะได้เห็นโฉมหน้าของเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน ที่คาดว่าจะสามารถนำมาใช้ได้ในไม่ช้า ด้วยกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจ โดย คุณชวลิต ทิพพาวนิชประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่GPSC กล่าวไว้ว่า “โอกาสการลงทุนที่จะเกิดขึ้น พร้อมนำGPSC ก้าวสู่ธุรกิจนวัตกรรมไฟฟ้าแห่งอนาคต เพื่อมุ่งไปสู่ New S-Curve เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีความจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก เพราะมีทั้งโอกาสและความเสี่ยงควบคู่กันไป แต่ว่าถ้าไม่ตัดสินใจในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็น NewS-Curve นี้ ประเทศไทย และ GPSC ก็อาจจะตกรถไฟก็ได้ เพราะฉะนั้น บริษัทให้แนวทางว่าควรเกาะติดและต้องเดินหน้าไปอย่างระมัดระวัง เป็นขั้นตอนหากประสบความสำเร็จ ก็จะต้องดำเนินการไปกับพันธมิตร ซึ่งเราก็ต้องพิจารณาในเรื่องของ Pilot plant เพื่อเตรียมการพัฒนาธุรกิจต่อไป”
ทั้งนี้ศักยภาพของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ตัวนี้ในช่วงแรก จะเป็นแบตเตอรี่ที่นำไปใช้กับการบริหารจัดการพลังงานภายในอาคาร บ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรม และ 24 M เตรียมพัฒนาต่อยอดไปสู่แบตเตอรี่ที่ใช้ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งขณะนี้ บริษัท 24 M Technology อยู่ระหว่างวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีการเก็บความจุของกระแสไฟฟ้าให้ได้มากขึ้นและมีน้ำหนักเบา เหมาะกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่ง ปตท. และ GPSC ให้ความสำคัญกับแบตเตอรี่ทั้ง 2 แบบ คือทั้งแบบใช้ในอาคาร และใช้ในรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (EV)
ชี้ให้เห็นว่า ทั้ง ปตท. และ GPSC พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ และเป็นผู้พัฒนาระบบ Energy Management Solution Provider โดยการผนวกเทคโนโลยีด้านบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่นำไปสู่การลดต้นทุนด้านพลังงานให้กับทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยต่างๆ ของการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิต และการใช้พลังงานทั่วโลก ที่กำลังมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อมาอุดช่องว่างของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของอุตสาหกรรมนี้ นั่นคือ แบตเตอรี่ที่มีคุณภาพสูงทั้งทางด้านประสิทธิภาพ ในขณะที่มีต้นทุนต่ำ
แน่นอนว่า การเดินทางของ ปตท. และ GPSC ที่กำลังมุ่งไปสู่การเป็นผู้ผลิต และรุกตลาดนวัตกรรมพลังงานของภูมิภาคอาเซียน จะเกิดขึ้นได้จากการศึกษาปัจจัยและองค์ประกอบต่างๆ 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่1.การพิสูจน์เทคโนโลยีการผลิตการกักเก็บ (Storage) ที่มีอยู่ว่าสามารถตอบสนองต่อการจ่ายไฟเข้าระบบภายในสถานประกอบการ หรือตัวอาคารได้อย่างรวดเร็ว โดยร่วมกับ ปตท. ทำการศึกษาเทคโนโลยี และโซลูชั่นต่างๆ เพื่อพิสูจน์และใช้เป็นต้นแบบ (first footprint)
2.การตอบสนองของตลาดของผู้บริโภค(Demand Response) จะเป็นคำตอบ ของต้นทุนการผลิตในอนาคต เนื่องจากผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนสถานะ เป็นได้ทั้งผู้ผลิตไฟฟ้า และผู้ใช้ไฟฟ้าในเวลาเดียวกัน จากนโยบายส่งเสริมของรัฐบาลในการรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์จากภาคประชาชน
3.เทคโนโลยีทางด้านสารสนเทศ ไม่ว่าการนำระบบ AI และ Blockchain เข้ามาผสมผสานกับระบบการผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้เกิดระบบ Deep Learning หรือ Big data ขึ้นในระบบการซื้อขายไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะประชาชนสามารถซื้อขายไฟฟ้าผ่านระบบมิเตอร์ 2 ทาง ทั้งมิเตอร์ซื้อไฟฟ้า และมิเตอร์ขายไฟฟ้า หรือการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ประกอบการ (P2P)
ด้วยกลยุทธ์ และทิศทางของการเดินหน้าบนเส้นทางของนวัตกรรมพลังงานยุคใหม่ จึงเป็นก้าวที่ท้าท้าย ของ GPSC ที่จะต้องแสวงหา และพิสูจน์เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อตอบโจทย์การใช้พลังงานทดแทนที่มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถสร้างความมั่นคงในระบบการจ่ายไฟได้อย่างยั่งยืน
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี