nn จากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ....และขยายวงกว้างขึ้นอีก...ซึ่งตอนนี้การตั้งกำแพงภาษีระหว่างกันไม่ใช่เกิดขึ้นแต่เฉพาะสหรัฐกับจีนเท่านั้น...แต่สหรัฐได้ขยายวงไปถึง สหภาพยุโรปและอินเดีย...ซึ่งรวมกันแล้วมูลค่าการค้ากว่า 50% ของมูลการค้าโลก...สภาพเช่นนี้ เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยแน่นอน...และประเทศไทยเองย่อมได้รับผลกระทบ เพราะกว่า 70% ของจีดีพีของไทยมาจากภาคการส่งออก ซึ่งตัวเลขล่าสุดจากหลายสำนักคาดว่าการส่งออกของไทยในปีนี้จะติดลบประมาณ 1-2.5% ส่วนภาคการท่องเที่ยวที่แม้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจะอยู่ในระดับ 40 ล้านคนแต่ด้วยสภาพของการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ ตัวเลขการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับลดลงด้วยเช่นกัน....
เครื่องยนต์ตัวใหญ่ (ส่งออก) ดับ เครื่องยนต์ตัวที่สอง(ท่องเที่ยว)ก็ไม่มีแรงมากพอจะลากจูงแล้ว ส่วนเครื่องยนต์ตัวที่สาม (การบริโภคในประเทศ) ก็ออกอาการสะดุดเพราะภาคการผลิตที่เกี่ยวข้องกับส่งออกทยอยปิดตัวและเลิกจ้างงานส่งผลไปถึงรายได้ของแรงงานในกลุ่มนี้ และสัญญาณที่ชัดเจนคือยอดขายที่อยู่อาศัยในภาคอสังหาริมทรัพย์และยอดขายรถยนต์ที่หดตัว...ส่วนเม็ดเงินจากมาตรการ “ ช้อป ชิม ใช้” เห็นกันอยู่ว่าวูบเดียวหาย เขาใช้เงินเฉพาะที่รัฐแจกให้ ส่วนเงินในกระเป๋าตัวเองไม่ควัก...
ดังนั้น ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเหลือแค่“ภาคการลงทุน” เท่านั้น ที่พอจะเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย...แต่ “การลงทุน” ที่ว่านี้จะหวังพึ่งการลงจากเอกชนไม่ได้...เพราะอย่างที่รู้ผลิตสินค้าออกมาขายไม่ได้ จะลงทุนผลิตไปเพื่ออะไร...ดังนั้นคำว่า “การลงทุน” ที่บอกว่าจะมาช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในยามนี้...ก็การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานสำคัญนั่นเอง...เพราะอย่างน้อยก็จะเกิดการจ้างงานในระดับหนึ่ง...เกิดการค้าภายในประเทศในหมวดที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง...ที่สำคัญเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจไทย
โครงการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาได้...ตอนนี้ที่เด่นสุดก็คือ โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)...ซึ่งหัวใจของโครงการนี้คือก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูง เพื่อผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น...แต่ก็อีกนั่นแหละ...ถ้าโครงการอีอีซี จะเกิดผลเป็นรูปธรรมได้ ก็ต้องยึดโยงกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและการคมนาคมที่สำคัญ....ทั้งการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินนานาชาติแห่งใหม่....การขยายท่าเรือแหลมฉบัง(เฟส3) และท่าเรือมาบตาพุด(เฟส3)...โครงการทางพิเศษ...และ รวมทั้งโครงการสำคัญอย่าง รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา)...ฯลฯ
แน่นอนโครงการเหล่านี้รัฐบาลไม่สามารถลงทุนเองได้ทั้งหมด...การลงทุนจึงเกิดขึ้นรูปแบบ... Public Private Partnership (PPP) หรือร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน...โดยให้เอกชนได้รับสิทธิ์ในการประกอบกิจการบนพื้นที่โครงการ และจัดสรรผลตอบแทนบางส่วนให้แก่ภาครัฐตามข้อตกลง...และต้องบอกว่าในบรรดาโครงการต่างๆ ที่ว่ามาข้างต้น....ไม่มีโครงการไหนดูเหมือนจะมีความเสี่ยงและเงื่อนไขที่สลับซับซ้อนเท่ากับ...โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน...ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักของอีอีซี....
โครงการรถไฟความเร็วสูงฯนอกจากจะเป็นเรื่องที่เราไม่รู้มาก่อน ไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ยังต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก (กว่า 2 แสนล้านบาท)...ซึ่งทั้งหมดนั้นมาจากเงินกู้ ซึ่งแน่นอนว่ามีภาระดอกเบี้ยเป็นจำนวนมากเช่นกัน..ถ้าโครงการเดินหน้าไปตามปกติกว่าโครงการจะเริ่มรับรู้ได้ ก็ต้อง 5 ปีไปแล้ว...แต่ระหว่างนั้นมีภาระจ่ายดอกเบี้ยไปก่อน...แต่ถ้าหากว่าเกิดเหตุขัดข้องทำให้โครงการล่าช้ากว่าปกติผู้ลงทุนก็ต้องรับภาระทางการเงินเพิ่มเข้าไปอีก...และนี่เป็นความเสี่ยงสำคัญของโครงการนี้...
ถึงตรงนี้ต้องบอกตามตรงว่า “โครงการมีความเสี่ยงสูงมาก” ในการก่อสร้างได้ทันระยะเวลาของโครงการที่ระบุไว้ใน TOR ...ปัญหาใหญ่มาจากจุดสำคัญคือการส่งมอบพื้นที่ของภาครัฐ...ณ เวลานี้ภาครัฐสามารถส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนได้เพียง 50-60% เท่านั้น...อีก 20% ภายใน 1 ปี และอีก 20% อาจจะใช้เวลาถึง 1-2 ปี....พื้นที่เกือบ 40% โครงการ บ้างก็ต้องรื้อย้ายสาธารณูปโภคสำคัญ บ้างก็ต้องรื้อถอนโครงสร้างโครงการเดิม บ้างก็ต้องเวนคืน ขับไล่ผู้บุกรุก บางพื้นที่ติดสัญญาเช่ากับเอกชนรายอื่น...ซ้ำเจ้าของสาธารณูปโภคที่ต้องรื้อย้ายมากว่า 2-3 รายก็ไม่ใช่คู่สัญญาของเอกชนที่ได้โครงการรถไฟฯ....ส่วนการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เจ้าของโครงการพื้นที่และคู่สัญญา ก็ไม่ใช่เจ้าของสาธารณูปโภค ที่ต้องรื้อย้าย...นั่นแปลว่าหากการรื้อย้ายทำไม่ได้ตามแผนงานจนส่งมอบพื้นที่ไม่ได้ตามกำหนด....เอกชนผู้ร่วมลงทุนก็ไม่สามารถจะฟ้องร้องหรือทำอะไรได้นอกจากรอ...นี่คือว่าความเสี่ยงสำคัญ...ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่า..ภาครัฐจะโยนความเสี่ยงทั้งหมดมาให้เอกชน...ทั้งที่โครงการนี้เป็นการลงทุนแบบ PPP ไม่ใช่การให้สัมปทาน...
ท่าทีแบบนี้ของรัฐบาล...คิดหรือว่าไม่ได้อยู่ในการเฝ้ามองของนักลงทุนจากทั่วโลก ที่อยากจะเข้ามาลงทุนในพื้นที่ อีอีซี...และหากว่ารัฐบาลยังไม่แสดงความจริงจังและจริงใจมากกว่านี้...เชื่อเถอะว่ากระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนแน่นอน...
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี