nn การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้กระทบต่ออัตรากรขยายของเศรษฐกิจโลกอย่างหนัก (IMF ประมารการว่า จีดีพีของโลกติดลบ 3%) ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ความต้องการใช้สินค้าสำคัญๆของโลกลดลงอย่างมาก เช่น กรณีของน้ำมันที่ความต้องการใช้ลดลงถึง 30% จนทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างหนักเป็นประวัติการณ์ จนกระทั่งไม่มีคลังน้ำมันที่จัดเก็บได้รวมไปถึงสินค้าสำคัญอื่นอย่างเช่นผลิตภัณฑ์เหล็ก ซึ่งปริมาณการความต้องการใช้ลดลง ตามภาวะภาคธุรกิจสำคัญที่มีอัตรากรขยายตัวลดลง เช่น ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผู้ผลิตเหล็กรายสำคัญของโลกต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เช่น กรณี ประเทศจีน ประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก (กำลังผลิตต่อปีกว่า 900 ล้านตัน เมื่อปี 2562) ทำให้รัฐบาลจีนต้องใช้มาตรการต่างๆ เพื่อระบายสต๊อกที่ล้นตลาดอยู่ตอนนี้เช่น มาตรการหนุนส่งออกด้วยการเพิ่มอัตรา การชดเชยภาษีสำหรับการส่งออกสินค้าเหล็กอีก 3% (เพิ่มจาก 10% เป็น 13%) นับแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ด้าน Nippon Steel Corp ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ อันดับ 1 ของญี่ปุ่น และอันดับ 3 ของโลก และ JFE Steel ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น และอันดับ 8 ของโลก ต้องออกมาประกาศปิดเตาถลุงเหล็กบางส่วนลง
ขณะที่ Arcelor Mittal บริษัทผู้ผลิตเหล็กอันดับ 1 ของโลก ต้องปรับลดการผลิตเหล็กของโรงงานในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ทั้งใน สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ สหภาพยุโรป และโรงเหล็กบางแห่งในสหรัฐฯ จำเป็นต้องประกาศลดพนักงานลง และ Thyssen Krupp ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 1 ในเยอรมนี ประกาศแผนปรับโครงสร้างบริษัท โดยวางที่จะแผนปลดพนักงานราว 3,000 ตำแหน่ง รวมทั้ง ผู้ผลิตเหล็กต่างๆ ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทั้งในอินเดีย ตุรกี อังกฤษ ฟินแลนด์ ออสเตรีย แคนาดา ซาอุดีอาระเบีย อินโดนีเซีย ฯลฯ ก็ต้องปรับลดการผลิตลงจากผลกระทบของความต้องการใช้เหล็กที่หดตัว
ดังนั้น นอกจากการปรับตัวในหลายรูปแบบเพื่อการอยู่รอดแล้ว ก็ยังต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลของตนในการออกมาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศด้วย เช่น สมาคมอุตสาหกรรมเหล็กของยุโรป (Eurofer) ได้ยื่นจดหมายต่อสหภาพยุโรป (EC) ทบทวนมาตรการจำกัดการนำเข้าที่เข้มงวดมากขึ้น เพิ่มเติมจากมาตรการ Global Safeguard ที่ใช้อยู่ รวมถึงการพิจารณามาตรการฉุกเฉินจำกัด การนำเข้า ซึ่งได้รับอนุญาตให้สามารถใช้ได้ตามข้อตกลง Article XXI ของความตกลง GATT 1994ซึ่งเป็นข้อยกเว้นสำหรับการปกป้องผลประโยชน์ทางความมั่นคง (Security Exceptions) เนื่องจากมาตรการ Global Safeguard ที่ใช้อยู่ไม่ครอบคลุมสินค้าที่นำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา (undevelopedcountries) ซึ่งรวมถึงการนำเข้าจากประเทศจีน รัสเซีย และบราซิลด้วย
ขณะที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าของสหรัฐฯ (AISI) และอีก 4 สมาคมเหล็กของสหรัฐฯ ขอให้สภาคองเกรสบรรจุแพ็กเกจการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในมาตรการฟื้นฟูผลกระทบจาก โควิด-19 ใน ระยะต่อไป โดยแพ็กเกจโครงสร้างพื้นฐานด้านการลงทุน ต้องระบุถึงการใช้วัสดุเหล็กและงานแปรรูปเหล็กที่ผลิตภายในประเทศ
ส่วนกรณีของประเทศตุรกี ผู้ผลิตและส่งออกเหล็กรายใหญ่อันดับ 7 ของโลก ก็เพิ่งประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กหลายรายการ ทั้งกลุ่มบิลเล็ต เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบ เหล็กกล้าไร้สนิม เหล็กโครงสร้างรูปพรรณและเหล็กเส้น โดยปรับภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 5% จากอัตรา 9-15% เป็น 14-20% กลุ่มท่อเหล็กปรับภาษีนำเข้าเพิ่ม 2% จากอัตรา 6-7% เพิ่ม เป็น 8-9%
แน่นอนว่าด้วยมาตรการต่างๆ ของประเทศ ทำให้เกิดสต๊อกเหล็กที่คงค้างในตลาดโลกจำนวนมหาศาล และต้องหาตลาดทีจะส่งออกไป แน่นอนว่า กลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย คือเป้าหมายอันดับแรกของสต๊อกเหล็กลอตนี้ ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ประการ คือ 1.ประเทศไทยมาตรการป้องกันการนำเข้า และมาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศที่อ่อนแอมากที่สุด 2.ประเทศไทยมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานช่วง 5 ปีนี้ สูงถึง กว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจำเป็นต้องใช้สินค้าเหล็กจำนวนมาก หลายหลากกลุ่ม
ด้วยเหตุที่ทุกประเทศถือว่า อุตสาหกรรมเหล็ก คืออุตสาหกรรมพื้นฐานของประเทศ ดังนั้นทุกประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ หรือแม้แต่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ยังต้องตื่นตัวเร่งหาทางรับมือกับการทะลักของเหล็กนำเข้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ดังนั้นประเทศไทยจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไม่เร่งหาหนทางรับมือ และด้วยสภาพการของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศในช่วงหลายปีมานี้ก็ยิ่งน่าเห็นห่วง โดยตัวเลขล่าสุดเมื่อสิ้นปี 2562ประเทศไทยมีการใช้สินค้าเหล็ก 18.47 ล้านตันและส่วนใหญ่ประมาณ 58% ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่จะพบว่าสินค้าส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ กว่า 12 ล้านตัน คิดเป็นกว่า 66% ของการใช้ในประเทศ และคิดเป็นมูลค่ากว่า 3.2 แสนล้านบาทส่งผลให้ผู้ประกอบการในประเทศมีการใช้กำลังการผลิตเพียง 32% เท่านั้น และสภาพการก็เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องมาหลายปี
ด้วยมาตรการการคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศที่มีอุปสรรคในเรื่องความล่าช้า (ซึ่งยากที่จะแก้ไข) ดังนั้นสิ่งที่จะเข้ามาช่วยกู้วิกฤติในอุตสาหกรรมเหล็กของไทยได้ในขณะนี้ก็ต้องหวังพึ่งนโยบาย“Thai First ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน” ซึ่งหัวใจหลักคือการสนับสนุนให้สินค้าในประเทศเป็นหลักโดยจากการศึกษาเบื้องต้นของ ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เรื่องผลกระทบจากการใช้สินค้าในประเทศ (โดยการใช้เครื่องมือตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต หรือ Input-OutputTable (I-O Table) ซึ่งเป็นตารางที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตและการใช้ผลผลิต ทั้งที่ใช้ไปในขั้นสุดท้ายและที่ใช้ไปเพื่อการอุปโภคขั้นกลาง พบว่า จากข้อมูลโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม 44 โครงการโดยได้มีการประเมินจากผู้ผลิตสินค้าเหล็กในประเทศว่าสามารถใช้สินค้าเหล็กในประเทศได้เป็นมูลค่าถึงประมาณ 110,000 ล้านบาท และจากมูลค่าดังกล่าวเมื่อนำไปวิเคราะห์โดย I-O table พบว่าจะช่วยให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรง และทางอ้อมกว่า 139,000 คน และช่วยให้ GDP ของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.6%
โดยสรุปคือ การสนับสนุนการใช้สินค้าในประเทศจึงเป็นกลไกที่สำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น และพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นต่อไป...!! ถึงตรงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรออะไรแล้วที่เร่งทำให้ “Thai First” มีผลในทางปฏิบัติทันทีในโครงการลงทุนของรัฐนับจากนี้ต่อไป....
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี