nn ดูเหมือนว่าการลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้งของ...เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์...ในการเข้าซื้อกิจการ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผ่าน 3 บริษัทในเครือ (ซี.พี. รีเทลโฮลดิ้ง...CP ALL 40...CPF) จะผ่านไปได้ด้วยดีแม้ว่าจะมีประเด็นตื่นเต้นเล็กน้อยเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว เมื่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) หยิบเอาดีลนี้มาเข้าที่ประชุมของบอร์ด กขค. เพื่อพิจารณาในประเด็นเรื่องของการผูกขาด แต่สุดท้ายเสียงข้างมากของ บอร์ด กขค.ก็มีมติให้มีการควบรวมกิจการกันได้
อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ก็มีหลากหลายประเด็นที่ควรศึกษา เช่นว่าทำไมเจ้าสัวซีพีจึงตัดสินใจซื้อกิจการ “เทสโก้ โลตัส”ซึ่งอันนี้ เจ้าสัวซีพี ก็เคยพูดไว้ในโอกาสผ่านหลายสื่อว่า..“ความจริงเทสโก้ โลตัส เป็นลูกของผม ตอนวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ผมขายไปฝากให้คนอื่นเลี้ยง ในครั้งนี้เจ้าของที่เคยเลี้ยงลูกผมจะขายลูกกลับคืนมา ผมก็ต้องซื้อแต่ผมจะซื้อต่อเมื่อต้องเป็นประโยชน์ ถ้าซื้อแล้วไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ซื้อ และถ้าจำกันได้“ซีพี” เป็นผู้สร้างฐานลูกค้าเทสโก้ โลตัส ในเมืองไทย และให้ Walmart มาช่วย บริหารตั้งแต่ยุคเริ่มต้นนั้น แต่ต้องจำใจขายกิจการในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เพื่อรักษาธุรกิจหลักซึ่งก็คือเกษตรเอาไว้ เมื่อมีโอกาสอีกครั้งก็ซื้อกับมา แม้ว่าเงินลงทุนจะสูงถึง 10,576 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 338,445 ล้านบาท แต่ซีพี ก็ได้มาทั้งธุรกิจของในไทยและมาเลเซีย
ร้านค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า Tesco Lotus ในประเทศไทย ประกอบด้วย ร้านค้ารูปแบบ ไฮเปอร์มาร์เก็ต 214 สาขา ตลาดโลตัส 179 สาขา และเทสโก้ เอ็กซ์เพรส 1,574 สาขา และให้เช่าพื้นที่ในศูนย์การค้า 191 สาขาส่วนเทสโก้ ประเทศมาเลเซีย ประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้เครื่องหมายการค้า Tesco ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีร้านค้าในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตจํานวน 46 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ตจํานวน 13 สาขา และร้านค้าขนาดเล็กจํานวน 9 สาขา นอกจากนี้ยังมีธุรกิจให้เช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าจํานวน 56 สาขา
อีกคำถามสำคัญของสังคมต่อกรณีคือ การแข่งขันในวงการค้าปลีก รูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต จะเป็นอย่างไร จะเกิดการผูกขาดทางการตลาดหรือไม่ ซึ่งก็ต้องบอกว่าในตลาดนี้มีผู้เล่นรายใหญ่ 2 แบรนด์ คือ เทสโก้ โลตัส และ บิ๊กซี ส่วนแมคโคร นั้นเน้นขายส่งมากกว่าขายปลีก จึงไม่ใช่คู่แข่งขันโดยตรง และปัจจุบันตลาดนี้ ทั้ง บิ๊กซี และเทสโก้ ก็แข่งขันกันอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว กลยุทธ์ ก็เหมือนเดิม คือ เน้นขายของถูก และจัดโปรโมชั่นตลอดทั้งปีแม้ว่าทั้ง 2 แบรนด์ จะมีความแตกต่างเรื่องของฐานลูกค้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบมากกว่ากัน แต่ด้วยไซส์ของบิ๊กซีที่เล็กกว่า ถ้าบิ๊กซีจะขึ้นมาเบียดกับเทสโก้ได้ ก็ต้องเร่งขยายสาขาเพิ่ม ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ เพราะมีการลงทุนจากภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจกระจายตัวออกไปในหลายพื้นที่ของประเทศ
ส่วนในมุมของเจ้าของสินค้าที่จะนำมาวางจำหน่ายจะถูกเอาเปรียบมากขึ้นหรือไม่ ก็ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า ปัจจุบันทั้ง ทั้งบิ๊กซีและ เทสโก้ เรียกเก็บ ค่าใช้จ่าย 2 ส่วน จากเจ้าของแบรนด์ คือ “Font Margin”(เมื่อขายสินค้าได้เท่าไรจะถูกหักออกในสัดส่วนที่ตกลงไว้) และ “Back Margin”(การเข้าร่วมโปรโมชั่น สื่อหน้าร้าน ตำแหน่งบนชั้นวางสินค้า ฯลฯ) และแม้ว่าอัตราจะสูงอยู่เหมือนกัน แต่ว่าช่องทางการขายนั้นสำคัญ เจ้าของสินค้าก็ต้องยอมจ่ายอยู่ดี เพื่อให้สินค้าของเขาเข้าถึงกลุ่มลูกค้า เพื่อสร้างยอดขายให้มากๆ และมาลดต้นทุนด้านอื่นๆ เพื่อให้เหลือกำไร
ขณะที่ในมุมของผู้บริโภคนั้นไม่น่าจะมีผลในเชิงลบ กลับกันจะยังได้ประโยชน์ในหลายมิติจากการแข่งขันของผู้เล่นทั้ง 2 รายนี้ ไม่ว่าสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น บริการอื่นเพิ่มเติมมากขึ้น เพื่อดึงให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในห้างของตัวเองนานมากขึ้น และด้วยการยุทธ์ด้านราคายังสำคัญ การขึ้นราคาสินค้าคงทำได้ยาก
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี