เขื่อนไซยะบุรี เป็นเขื่อนพลังน้ำใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า สร้างกั้นแม่น้ำโขงตอนล่าง ตั้งอยู่ประมาณ 30 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกของเมืองไซยะบุรี ตอนเหนือของประเทศลาว ก่อสร้างโดยบมจ. ช.การช่าง ของไทย เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจัดซื้อกระแสไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกับรัฐบาลลาว เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้า ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ถึง พ.ศ. 2573
บมจ. ช. การช่าง ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับรัฐบาลลาว เพื่อทำการศึกษาสำรวจออกแบบเขื่อนไซยะบุรีในปีพ.ศ. 2550 จากนั้นได้มีการลงนามสัญญาตกลงกับรัฐบาลลาวเพื่อพัฒนาโครงการในปีพ.ศ. 2551 การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2555 แต่ได้ชะงักลงเนื่องจากการประท้วงของรัฐบาลเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งอยู่ด้านใต้น้ำ เพราะการสร้างเขื่อนจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
จึงได้มีการปรับรูปแบบของเขื่อนใหม่ให้มีทางขึ้น-ลงของปลาและการไหลของตะกอนใต้น้ำ และเมื่อวันที่ 7พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 รัฐบาลลาวได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อ
โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีใช้เงินทุนก่อสร้างกว่า 135,000 ล้านบาท มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น1,285 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยกังหันน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารวม 8 ระบบ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 7,768 ล้านหน่วยต่อปี
กระแสไฟฟ้าร้อยละ 95 ถูกซื้อเพื่อนำมาใช้ในไทย ส่วนที่เหลือถูกนำไปใช้ในลาว ซึ่งจึงมีแนวโน้มก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อระบบนิเวศของแม่น้ำโขง หากไทยไม่สั่งซื้อกระแสไฟฟ้า การสร้างเขื่อนย่อมถูกยกเลิก “เครือข่ายประชาชน 8 จังหวัดลุ่มแม่น้ำโขง” จึงนำประเด็นการสร้างเขื่อน นอกราชอาณาจักรไปฟ้องศาลปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2555
มูลเหตุฟ้องคดีนี้มีความเกี่ยวพันกับประเทศเพื่อนบ้าน ต่างจากคดีปกครองทั่วไป ที่ส่วนใหญ่แล้วมูลคดีจะเกิดในประเทศ คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดรับฟ้องไว้พิจารณาตามคำสั่งที่ คส.8/2557 เฉพาะประเด็นที่ผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับพวกรวม 5 คน ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญกฎหมาย และมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม รับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมสุขภาพ และสังคม เพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียและได้รับความเสียหายโดยตรง เพราะอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง มีสิทธิฟ้องคดีได้ โดยได้อ่านคำสั่งเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ส่วนประเด็นเรื่องการขอให้ยกเลิกโครงการซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ศาลพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดี คือ เครือข่ายชาวบ้านริมฝั่งโขงไม่ได้เป็นคู่สัญญาโดยตรง จึงไม่มีสิทธิฟ้อง สำหรับขอให้ยกเลิกมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานและมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้การไฟฟ้าฯ เข้าทำสัญญานั้น ศาลพิจารณาว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นเพียงขั้นตอนการดำเนินการภายในของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อนำไปสู่การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิฟ้อง
คดีปกครองนี้ จะเป็นบรรทัดฐานเพราะการกระทำหลักซึ่งเป็นการสร้างเขื่อนไซยะบุรีเกิดขึ้นในต่างประเทศ แต่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย วิถีชุมชน เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย และไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลตลอดจนรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบในประเทศไทย
คดีนี้มีผู้ฟ้องคดีจำนวน 37 คน ในนาม “เครือข่ายประชาชน 8 จังหวัดลุ่มแม่น้ำโขง” เป็นประชาชนที่มีภูมิลำเนาและประกอบอาชีพอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัดริมฝั่งแม่น้ำโขง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานีผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือได้รับผลกระทบโดยตรงและมากเป็นพิเศษกว่าบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้อยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพในพื้นที่ 8 จังหวัดริมฝั่งแม่น้ำโขง ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิมีส่วนร่วมในการคุ้มครอง ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน
สิทธิชุมชนในส่วนนี้ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองจึงมีอำนาจพิจารณาได้ คล้ายกับความผิดอาญาที่มีการกระทำผิดนอกราชอาณาจักรแต่ผู้เสียหายเป็นคนไทยในความผิดบางประเภทตามประมวลกฎหมายอาญา ศาลไทยมีอำนาจพิจารณา คดีนี้ จึงถือได้ว่า เป็นการเปิดมิติใหม่ในการฟ้องคดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม องค์กรแม่น้ำนานาชาติได้ระบุว่า เขื่อนไซยะบุรีและเขื่อนในจีน 11 แห่ง ได้สร้างผลเสียให้ระบบนิเวศของแม่น้ำเป็นอย่างมาก ทั้งแผนการพัฒนาโครงการเขื่อนไฟฟ้า 11 โครงการบนแม่น้ำโขงตอนล่างและเขื่อนอีก 120 แห่ง ในแม่น้ำสาขาภายในปีพ.ศ. 2583จะเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อนิเวศวิทยาและเศรษฐกิจของภูมิภาค รวมทั้งกระทบต่อการเข้าถึงอาหารของประชาชนในท้องถิ่น
นอกจากนี้ ชาวบ้านใน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขงพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง บริเวณท้ายน้ำจากเขื่อนไซยะบุรี ที่พรมแดนไทย-ลาว จากอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลยลงไปจนถึงจังหวัดนครพนม และจังหวัดอุบลราชธานี เช่นระดับน้ำที่ผันผวน ขึ้นลงผิดธรรมชาติ และปรากฏการณ์แม่น้ำโขงสีคราม ซึ่งหมายถึงแม่น้ำขาดตะกอน แร่ธาตุสารอาหารที่จำเป็นต่อสัตว์น้ำ และเกษตรกรรมตลอดลุ่มน้ำ
แม้การสร้างเขื่อนจะเป็นประโยชน์ ในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำลายธรรมชาติ ระบบนิเวศ ทำให้ประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อน แต่โครงการสร้างเขื่อน หรือการก่อสร้างอื่นที่เชื่อว่าจะเป็นการพัฒนาประเทศ ยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งอาจมีการทำลายธรรมชาติแม้ตามแนวคำพิพากษาข้างต้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบจะสามารถฟ้องคดีได้ แต่กระนั้นก็ตาม ย่อมเป็นการดีหากมีการออกกฎหมายให้เป็นปัจจุบันที่สุด เพื่อแก้ปัญหาในกรณีที่ผู้ประกอบการเป็นชาวไทย แต่การประกอบการในต่างประเทศส่งผลกระทบต่อคนไทยและสิ่งแวดล้อมในไทย เช่น การบังคับจัดตั้งกองทุนเพื่อชดเชยความเสียหาย เพราะการดำเนินคดีในศาลอาจไม่ทันกาล
นอกจากนี้ ประเทศไทยจึงควรพิจารณาและพัฒนาพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน แสงอาทิตย์ และลม ให้มากขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องอาศัยพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้าน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี