สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจทั่วโลกโดยรวม ประเทศไทยเช่นกันที่ได้รับผลกระทบอย่างสาหัสสากรรจ์
ธุรกิจหลายประเภทต้องปิดตัวลงอย่างถาวร บางประเภทต้องปิดชั่วคราวหรือเปิดได้บางเวลา ต้องรอ
คำสั่งจากรัฐบาลว่า จะสามารถเปิดให้บริการตามเดิมได้เมื่อไหร่ เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันยังคงทะลุหลักหมื่น การควบคุมยังเป็นไปได้ยาก
ส่งผลให้คนจำนวนมากจากที่เคยมีรายได้ที่แน่นอนกลายเป็นคนตกงาน รายได้ลดลง เพราะเจ้าของธุรกิจไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ บ้างหยุดชั่วคราว บ้างปิดถาวร การจ้างงานลดลง หรือมีการเลิกจ้าง ส่งผลต่อปากท้องของประชาชน
แม้ภาครัฐจะมีโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง เราชนะ และอื่นๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและแบ่งเบาภาระ แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับคนจำนวนมากหลายครอบครัวที่มีสมาชิกหลายคน ลูกๆ ยังอยู่ในวัยเรียนยังมีบิดามารดาสูงอายุ ที่ต้องเลี้ยงดู ชีวิตจึงต้องเผชิญกับความยากลำเข็ญ แหล่งเงินกู้จึงมีความจำเป็น ถ้าจะกู้ธนาคาร ต้องมีหลักทรัพย์ มีคนค้ำประกันทั้งต้องใช้เวลาในการอนุมัติ เงินด่วนจากแหล่งเงินที่ไม่ต้องพิจารณาอะไรมาก จึงเป็นพึ่งในยามยาก
ในอดีตการให้กู้เงินด่วนประเภทไม่ต้องมีหลักทรัพย์ ไม่ต้องมีคนค้ำ อนุมัติเร็ว อาจทำการประชาสัมพันธ์โดยติดตามตู้โทรศัพท์สาธารณะ เสาไฟฟ้าเดินแจกตามถนน แต่ยุคนี้เป็นยุคที่แทบทุกคนจะใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเลต คอมพิวเตอร์ ผู้คนเข้าถึงอินเตอร์เนตได้ง่าย ทำให้เกิดแอปพลิเคชั่นกู้เงิน (แอปพลิเคชั่น เรียกย่อๆ ว่า แอป) หรือบริการเงินด่วนออนไลน์โอนเข้าบัญชี ที่โฆษณาตามสื่อออนไลน์โซเชียลเนตเวิร์กต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีการส่งข้อความผ่านทาง SMS วิธีการของพวกนี้จะส่งข้อความเข้ามาทำนองว่า คุณคือผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถกู้เงินได้ อนุมัติไว ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ผ่อนชำระสบายๆ ดอกเบี้ยต่ำ ทำให้เข้าถึงได้ง่ายและสามารถได้เงินเพียงกดผ่านโทรศัพท์มือถือ
คนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ แอปหลายราย จะใช้วิธีให้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตรเครดิต/เดบิต โทรศัพท์มือถือ เมื่อทำตามขั้นตอนเสร็จ จะเข้าสู่ขั้นตอนการอนุมัติที่ส่วนมากจะให้เริ่มกู้ตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นต้นๆ เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมร้อยละ 40-50 ตั้งแต่ก่อนส่งมอบเงินกู้ให้ ทำให้ผู้ไม่ได้เงินเต็มจำนวนตามที่คาดหวังแล้วยังต้องเผชิญกับดอกเบี้ยผิดกฎหมายมหาโหด ร้อยละ 20-30 ระยะเวลาชำระเงินคืน ภายใน 7 วัน หากผิดนัดจะเรียกเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 10-20 เป็นรายวัน ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนด ทำให้เงินกู้พอกขึ้นไปเรื่อยๆ บางรายกู้หลักหมื่นต้องใช้คืนหลักแสน แต่ยากที่จะใช้คืนได้ เงินกู้ ดอกเบี้ย พอกพูนขึ้นเรื่อย แถมถ้าไม่รีบหาเงินมาคืนหรือส่งดอก จะถูกข่มขู่
แอปบางราย เมื่อผู้กู้เงินกรอกข้อมูลให้ไป จะมีซอฟต์แวร์ที่ดึงหรือแฮกข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือของผู้กู้ ทำให้แอป ได้ข้อมูลที่เป็นหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อและไลน์ของบุคคลต่างๆที่ติดต่อกับผู้กู้ เมื่อผู้กู้ชำระเงินช้า หรือผิดนัดไม่ชำระ จะมีคนโทรไปทวงถาม ตามรายชื่อโทรศัพท์ของผู้กู้ หรือส่งข้อความไปทวงถามตามไลน์ที่ติดต่อกับผู้กู้ ทำให้ผู้กู้ได้รับความอับอาย และต้องรีบหาเงินมาใช้เงินกู้
ในการกู้เงินผ่านแอปนั้น วิธีการเลือกแอปพลิเคชั่นกู้เงินที่ถูกกฎหมาย ผู้กู้ควรทำการศึกษาข้อมูลของบริษัทที่ให้บริการว่า มีความน่าเชื่อถือเพียงใด เช่น มีเว็บไซต์ หรือสถานประกอบการมีการจดทะเบียนหรือไม่ มีที่ตั้งชัดเจนหรือไม่ ทั้งต้องตรวจสอบใบอนุญาตหรือใบขึ้นทะเบียนให้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถตรวจสอบโดยนำชื่อบริษัทผู้ให้กู้ไปกรอกข้อมูลผ่านระบบ BOT License Check ทาง www.bot.or.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย หากไม่พบ ควรสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นแอปที่ไม่ถูกกฎหมาย
สำหรับในเรื่องการทวงหนี้ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การทวงถามหนี้พ.ศ. 2558 มีประเด็นที่สำคัญ คือ ผู้ทวงถามหนี้ หมายถึงเจ้าหนี้ผู้ให้สินเชื่อเป็นทางการค้าปกติ, คนที่ซื้อหรือรับโอนหนี้, ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค, ผู้จัดให้มีการเล่นพนัน เช่น ธนาคาร บริษัทบัตรเครดิต บริษัทเช่าซื้อ เจ้าหนี้จากการพนัน เจ้าหนี้นอกระบบ (แม้หนี้นั้นจะเป็นหนี้ที่ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย) รวมถึงผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้, ผู้รับมอบอำนาจช่วงในการทวงถามหนี้, ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
เจ้าหนี้ติดต่อทวงถามหนี้ไม่เกินวันละ 1 ครั้ง ช่วงเวลาในการทวงถามหนี้วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 08.00-20.00 น. วันเสาร์-วันอาทิตย์และวันหยุดราชการ เวลา 08.00-18.00 น. ต้องไม่ใช้เอกสารเปิดผนึกไปรษณียบัตรในการทวงถามทั้งมีข้อห้ามในการทวงหนี้คือ ห้ามพูดจาดูหมิ่นลูกหนี้, ห้ามข่มขู่ใช้ความรุนแรง, ห้ามประจาน, ห้ามทวงถามกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้,ผู้ทวงถามต้องแจ้งชื่อ นามสกุลของตนเอง
สำหรับโทษตามพ.ร.บ.การทวงถามหนี้ฯ มีทั้งโทษปรับ หรือทั้งจำและปรับแล้วแต่กรณี เช่น กรณีติดต่อนอกเวลาทวงถาม ติดต่อโดยไม่แสดงตัวตนมีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท กรณีข่มขู่ใช้ความรุนแรงกระทำการให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของศาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน5 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามกฎหมายที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน คือ ร้อยละ 15 ต่อปี หรือร้อยละ 1.25 ต่อเดือน
การเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โทษจำคุก 1 ปี หรือปรับ 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากแอปเงินกู้ มีสิทธิแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ดำเนินคดีอาญาได้ แต่หน่วยงานของรัฐควรกวดขันในเรื่องนี้ด้วยในเวลาเดียวกัน
การทำธุรกรรมต้องถือหลักว่า ผู้ซื้อควรระวัง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี