ในประเทศไทยคนส่วนใหญ่ย่อมต้องรู้จักต้นกระท่อมเป็นอย่างดีเพราะใบมีสรรพคุณ แก้ท้องเสีย บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และทำให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้มสบายตัว คนที่ทำงานต้องใช้พละกำลังจะเคี้ยวใบกระท่อม เพราะช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ทำงานได้ทนนานเวลามีแดดจัด
กระท่อมจัดว่าเป็นยาเสพติดครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปีพ.ศ.2486 และตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 กระท่อมจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 หลายปีที่ผ่านมา มีการพูดถึงกระท่อมกันอย่างกว้างขวาง ในวงการแพทย์ กระท่อมสามารถใช้แทนมอร์ฟีน เพื่อระงับความเจ็บปวดได้เพราะมีสารไมตราเจนีนซึ่งออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง กระท่อมยังใช้บำบัดผู้ติดยาเสพติดได้
นับว่าเป็นเรื่องดีที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ออกมาประกาศว่า วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2564 คือ วันปลดล็อกกระท่อม โดยได้นำพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ประเภทที่ 5 สืบเนื่องจากพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2564 ได้มีการแก้ไขถอดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติด ประเภท 5 โดยได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ.2564 และมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน ซึ่งมีผลเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา
ผลของการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ทำให้นับแต่นี้ต่อไป ประชาชนสามารถที่จะปลูกและบริโภคใบกระท่อมได้ตามวิถีชาวบ้าน ไม่ต้องแอบๆ ซ่อนๆ สามารถนำมาเคี้ยว นำมาต้มน้ำดื่ม เพื่อเพิ่มกำลังวังชาในการทำงาน ไม่เมื่อยล้า ตามวิถีชาวบ้านแบบที่เคยทำมา ไม่ต้องเกรงว่าจะถูกตำรวจจับอีกต่อไป หรือจะซื้อจะขายใบกระท่อม ภายในประเทศสามารถทำได้ โดยไม่ผิดกฎหมายเช่นกัน
กระท่อมไม่ได้เป็นยาเสพติดร้ายแรง หากว่าไม่นำใบไปต้มหรือสกัดผสมกับสารชนิดอื่น เมื่อเอาใบกระท่อมมาต้ม เพื่อนำน้ำจากใบกระท่อมไปผสมกับยาแก้ไอ และน้ำอัดลม หรือที่เรียกกันว่า “สี่คูณร้อย”จะกลายเป็นยาเสพติด ที่มีการแพร่และการเสพกัน เป็นที่นิยมมากในกลุ่มวัยรุ่น หากไม่ได้ดื่มสี่คูณร้อยจะมีอาการหงุดหงิด ไม่สบายตัว อันอาจนำไปสู่ปัญหาอาชญากรรมได้ ดังนั้น การนำใบกระท่อมไปผสมกับยาแก้ไอ และน้ำอัดลม ยังถือว่ามีความผิดตามกฎหมายเพราะถือเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 3
ผลของการปลดล็อกพืชกระท่อม ยังทำให้ผู้กระทำผิดได้รับอานิสงส์ เพราะตามหลักกฎหมายอาญาถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดอีกต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้าได้รับโทษอยู่ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง ส่งผลให้ในส่วนของกรมราชทัณฑ์มีผู้ต้องขังคดีพืชกระท่อม 1,038 ราย รอหมายศาลปล่อยตัว โดยให้ถือว่าไม่เคยกระทำความผิด ส่วนในชั้นอัยการที่กำลังพิจารณาคดีมีประมาณ 9,000 คดี และในชั้นสอบสวนของตำรวจมีประมาณ 2,400 คดี ทั้งหมดนี้จะรับการปล่อยตัวและยกเลิกคดีทั้งหมด โดยจะมีการดำเนินการตามแนวทางการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกเว้นกลุ่มผู้ผลิตน้ำพืชกระท่อมไปผสมกับวัตถุออกฤทธิ์ยังคงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ การปลดกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ ยังทำให้ภาครัฐได้รับประโยชน์ เพราะลดค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของภาครัฐและผู้ต้องหาหรือจำเลย มากถึง1,691,287,000 บาท จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศหรือทีดีอาร์ไอ (TDRI) ที่ได้ทำการศึกษาและพบว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาล คือ 76,612 บาท ซึ่งคดีข้อหาพืชกระท่อมที่ขึ้นสู่ศาลตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563-30 มิถุนายน พ.ศ. 2564มีจำนวน 22,076 คดี
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ.... ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ.... เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังเตรียมส่งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรบรรจุวาระประชุมเข้าสภาต่อไป สาระสำคัญของร่างนี้ คือ ให้มีการปลูก ซื้อขาย บริโภคพืชกระท่อมภายในประเทศได้โดยเสรีการซื้อขายนำเข้าส่งออกต่างประเทศในเชิงอุตสาหกรรมนั้น ต้องมีการขออนุญาต การกำหนดห้ามขายให้แก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ซึ่งเป็นเยาวชน รวมถึงสตรีมีครรภ์ กำหนดสถานที่ห้ามขาย เช่น โรงเรียน วัด
ตามความเป็นจริง กระท่อมควรจะถูกปลดล็อกจากบัญชียาเสพติดตามกฎหมายนานแล้ว เพราะในอดีตแต่โบราณ กระท่อมถือเป็นสมุนไพรที่เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชาวบ้าน
กระท่อมถูกนำมาเคี้ยวกับหมากพลูสำหรับคนสมัยก่อน ในปัจจุบันใบกระท่อมถูกนำมาเคี้ยวในปากให้ได้น้ำกระท่อมแล้วกลืน เพื่อให้เกิดกำลังวังชาในการทำงานสำหรับผู้ที่ใช้แรงงาน รวมทั้งนำมาต้ม เพื่อให้ได้น้ำและนำมาใช้รักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยสารพัด การบริโภคกระท่อมไม่ควรเคี้ยวใบกระท่อมแล้วกลืนไปทั้งใบ เพราะอาจทำให้เป็นนิ่วได้
ในประเทศแถบทวีปอเมริกาใต้ เช่น โบลิเวีย เปรู โคลัมเบีย บราซิล คนพื้นเมืองนิยมเคี้ยวใบโคคาสดๆ ที่มีขายทั่วไปทั้งใบและกิ่ง เพื่อให้มีพละกำลังในการทำงานหนักจนเป็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นนั้น พืชกระท่อม และพืชโคคาแม้จะอยู่กันคนละทวีป แต่น่าจะเป็นพืชที่อยู่ในตระกูล หรือวงศ์เดียวกัน
คนในแถบทวีปอเมริกาใต้ ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับใบโคคา ว่า ช่วยให้คลาดแคล้วจากภัยอันตรายและขอโชคลาภได้ โดยการยกใบโคคาขึ้นและโปรยทีละหลายๆ ใบ พร้อมกล่าวถึง ปาป้า มาม่า ซึ่งคล้ายกับการกล่าวถึงพ่อพระธรณีและแม่พระธรณี ตามความเชื่อศรัทธาของพวกเขา
ทั้งใบโคคาและใบกระท่อมเป็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น และล้วนมีประโยชน์เคี้ยวเพื่อเพิ่มพละกำลังในการทำงาน พืชหลายชนิดที่มีประโยชน์ จึงควรรู้จักนำส่วนต่างๆ ของพืชนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างถูกต้อง และมีวิธีการจัดการให้ถูกต้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี