พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง
ครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2557 ภายหลัง ก่อรัฐประหาร 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงมติเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ 191 เสียง งดออกเสียง 3
ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ภายหลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 และรัฐสภาลงมติเมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เป็นนายกฯ ด้วยคะแนนเสียง 500 ต่อ 244 งดออกเสียง 3
การนั่งบริหารราชการแผ่นดินของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับจากปี พ.ศ. 2557 เป็นที่จับตามองว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ห้ามไม่ให้นายกฯ ดำรงตำแหน่งรวมกันเกิน 8 ปี หรือไม่ การกำหนดระยะเวลา 8 ปี เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไป
โดยประเด็นทางกฎหมายเรื่องนี้ แบ่งความเห็นออกเป็น 3 แบบ และยังหาข้อยุติไม่ได้ คือ
1) แบบแรก เห็นว่า ควรเริ่มนับตั้งแต่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2557 ดังนั้น สามารถดำรงตำแหน่งได้ถึง 23 สิงหาคม พ.ศ. 2565 เพราะไม่มีบทยกเว้นตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158
2) แบบที่สอง เห็นว่า แม้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว พุทธศักราช 2557 ตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ไม่อาจนับเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาตามกรอบมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 ได้ เพราะไม่ได้มาจากการเลือกกันในรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
แต่หากยังต้องนำบทเฉพาะกาล มาตรา 264 มานับวันที่ให้คณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินก่อนรัฐธรรมนูญพุทธ ศักราช 2560 ทำหน้าที่เป็นคณะรัฐมนตรีได้ต่อไป ดังนั้น การนับครบ 8 ปี แบบนี้จะนับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 ใช้บังคับ คือ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 และนับตามบทเฉพาะกาลมาตรา 264 โดยจะครบวาระวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2568
3 แบบที่สาม นับตามการได้รับเลือกและโปรดเกล้าฯ ตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 ต้องพิจารณาตามมาตรา 158 ทั้งมาตรา คือ นับตั้งแต่การเลือกในสภาและนับวันตั้งแต่โปรดเกล้าฯ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ซึ่งจะครบ 8 ปี วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2570
อย่างไรก็ตาม มีผู้ไปตรวจค้นจากบันทึกของกรรมาธิการ ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพบว่า ถือว่า นับ 8 ปีนั้น เริ่มนับตั้งแต่วันที่เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญตีความและมีความเห็นตามนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2565 ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยและมีคำพิพากษาอย่างไร เป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ
การถกเถียงเกี่ยวกับการตีความ ในเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เมื่อปี พ.ศ. 2538 คุณเนวิน ชิดชอบ จะขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในสมัยนั้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 มาตรา 161 (4) กำหนดคุณสมบัติว่า ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่สองปีขึ้นไป โดยพ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีก่อนได้รับตำแหน่ง เว้นแต่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
ประเด็นมีว่า คุณเนวิน ชิดชอบ ถูกศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ตัดสินว่า กระทำความผิดอาญาในข้อหาหมิ่นประมาท และต้องพิพากษาให้จำคุก 6 เดือน แต่ได้รับการรอลงอาญา ซึ่งหมายความว่า ไม่เคยได้รับโทษจำคุก เพราะโทษจำคุกให้รอไปก่อน หากกระทำความผิดอาญาอีกภายในระยะเวลาที่กำหนด จะต้องได้รับโทษเก่าและโทษใหม่
เรื่อง การกระทำความผิดอาญา ฐานหมิ่นประมาทกับนักการเมือง ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะอาชีพนักการเมืองเป็นอาชีพที่ต้องพูดวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น พูดแล้วติดลมบน จึงมีโอกาสที่จะกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ง่ายมาก
ในขณะนั้นได้มีผู้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้มากมาย ได้มีผู้สืบค้นรายงานการประชุมของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 มีการบันทึกไว้ว่า คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีในสมัยนั้น ต้องไม่เคยมีคำพิพากษาคดีอาญามีโทษจำคุก แม้ไม่ได้รับโทษจริง หรือเพียงแค่รอลงอาญา ถือว่า ขาดคุณสมบัติที่จะเป็นรัฐมนตรีแล้ว
กรณีคุณเนวินได้ถูกเสนอให้ ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้ให้หลักว่า ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้จำคุก แต่ให้รอการลงโทษไว้นั้น มาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้ปล่อยตัวจำเลยไป จำเลยไม่ต้องถูกจำคุก การจำคุกตามคำพิพากษา จะเป็นการเอาตัวจำเลยไปควบคุมไว้ในเรือนจำ เพราะมาตรา 74 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา วางหลักว่า “ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 73 และมาตรา 185 วรรคสอง เมื่อผู้ใดต้องคำพิพากษาให้จำคุก ให้ศาลออกหมายจำคุกผู้นั้นไว้” ซึ่งหมายความว่า การที่บุคคลใดต้องคำพิพากษาให้จำคุก บุคคลนั้นต้องถูกจำคุกจริง ดังนั้น การที่จำเลยที่ถูกศาลพิพากษาให้จำคุก แต่โทษจำให้รอการลงโทษได้รับการปล่อยตัว จึงต้องถือว่าการรอการลงโทษนั้น จำเลยไม่ได้ถูกจำคุก
นับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นที่แตกต่างจากกรรมาธิการผู้ร่างรัฐธรรมนูญ คุณเนวิน ชิดชอบ จึงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
วันนี้ กงล้อประวัติศาสตร์ อาจหมุนกลับมาอีกครั้ง การวินิจฉัยและการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นดุลพินิจ ไม่ผูกพันความเห็นของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่เคยแสดงความคิดเห็นไว้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี