ช่วงสัปดาห์ก่อน มีการกล่าวถึงเรื่องหากปล่อยที่ดินให้รกร้าง โดยเจ้าของไม่ได้ทำประโยชน์ใดๆ นานเกิน 10 ปีรัฐอาจยึดที่ดินแปลงนั้น และให้ตกเป็นของแผ่นดิน
กรณีนี้มีกฎหมายรองรับให้กระทำการดังกล่าวได้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 6 บัญญัติว่า นับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ ใช้บังคับบุคคลใดมีสิทธิในที่ดินตามโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หากบุคคลนั้นทอดทิ้ง ไม่ทำประโยชน์ในที่ดิน หรือปล่อยที่ดินให้เป็นที่ร้างว่างเปล่าเกินกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
1. สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน เกินสิบปีติดต่อกัน
2. สำหรับที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เกิน 5 ปีติดต่อกัน
ให้ถือว่าเจตนาสละสิทธิในที่ดินเฉพาะส่วนที่ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือที่ปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า เมื่ออธิบดีได้ยื่นคำร้องต่อศาล และศาลได้สั่งเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าว ให้ที่ดินนั้นตกเป็นของรัฐเพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายนี้ต่อไป
กระทรวงมหาดไทยได้วางระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินที่ถูกทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าให้ตกเป็นของรัฐ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2522
ตามระเบียบนี้ ให้อธิบดีกรมที่ดินยื่นคำร้องต่อศาล ในระเบียบมีการกำหนดว่า ภายในเดือนมกราคมของทุกปี จังหวัดแต่ละจังหวัด จะสำรวจว่ามีที่ดินแปลงใดบ้างที่มีผู้ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าเกินกำหนดเวลา 10 ปีติดต่อกัน สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน หรือ 5 ปีติดต่อกันสำหรับที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และรายงานกระทรวงมหาดไทยทราบ ซึ่งก่อนส่งเรื่องให้กระทรวงมหาดไทยจะมีขั้นตอนการดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
1.จังหวัดหรืออำเภอจะทำหนังสือแจ้งให้เจ้าของที่ดินที่ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า จัดการหรือเร่งรัดให้มีการทำประโยชน์ภายในเวลา 3 เดือนนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
2. เมื่อครบกำหนดแล้วยังไม่จัดการให้มีการทำประโยชน์ให้จังหวัดตั้งกรรมการเพื่อพิจารณาว่ามีการทอดทิ้ง ไม่ทำประโยชน์ในที่ดินหรือปล่อยที่ดินให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าเกินกำหนดเวลาจริงหรือไม่เพียงใด
3. เมื่อคณะกรรมการมีความเห็นว่ามีการทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ในที่ดิน หรือปล่อยที่ดินให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าเกินกำหนดเวลาจริง ให้จังหวัดทำความเห็นส่งกรมที่ดินเพื่อพิจารณาดำเนินการส่งเรื่องให้อัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าวให้ตกเป็นของรัฐต่อไป
คนจำนวนไม่น้อยอาจคิดว่า การเสียภาษีทุกปี ถือว่าไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง กฎหมายจะพิจารณาการเข้าทำประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า เรื่องนี้จะเห็นได้จากการครอบครองปรปักษ์ แม้เจ้าของที่ดินจะเสียภาษี แต่บุคคลอื่นสามารถแย่งการครอบครองได้
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
สำหรับที่ดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านหรือในเมือง แม้จะยังไม่ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยแต่เจ้าของยังมีเจตนาถือเพื่อตนอยู่ ให้ถือว่าที่ดินนั้นเป็นที่ดินที่ได้ทำประโยชน์แล้วโดยสภาพ
ที่ดินถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่า หลายคนต้องเก็บเงิน เพื่อหวังว่าจะได้มีที่ดินเป็นของตนสักแปลง ในขณะที่จำนวนหนึ่งพิจารณาว่า เป็นการลงทุนประเภทหนึ่ง และซื้อไว้หลายแปลงเพื่อเก็งกำไร ซึ่งในอดีตการเสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดินมีอัตราไม่สูง ต่อมาได้มีการยกเลิก โดยในปัจจุบันใช้พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 บังคับใช้นับว่าเป็นอัตราที่สูงกว่าเก่ามาก
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แบ่งออกเป็น4 ประเภท (1) ที่ดินเพื่อการเกษตร (2) ที่ดินเพื่ออยู่อาศัย (3) ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ และ(4) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า
ผู้มีหน้าที่เสียภาษี คือ (1) เจ้าของที่ดิน/สิ่งปลูกสร้าง (2) เจ้าของห้องชุด และ (3) ผู้ครอบครองทรัพย์สินของรัฐ (ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง)
สำหรับที่ดินเพื่อการเกษตร อัตราภาษีเริ่มต้นร้อยละ 0.01ใน 3 ปีแรก จะได้รับการยกเว้นส่วนที่ดินเพื่ออยู่อาศัย จะได้รับการยกเว้นสำหรับผู้ที่มีบ้านหลังแรก หากมีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทในกรณีที่เป็นบ้านหลังที่สอง อัตราภาษีเริ่มต้น ร้อยละ 0.02 หรือล้านละ 200 บาท ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ ราคาประเมินไม่เกิน 50 ล้านบาท อัตราภาษีเริ่มต้น ร้อยละ 0.3 หรือล้านละ 3,000 บาท ที่ดินรกร้างว่างเปล่า อัตราภาษีเริ่มต้นร้อยละ 0.3 หรือล้านละ 3,000 บาท และจะเพิ่มอีกล้านละ 3,000 บาท ในทุกๆ ปี
หากผู้เสียภาษีไม่ได้ชำระภาษีภายในเวลาที่กำหนด จะมีเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม หากยังคงไม่ชำระ ที่ดินแปลงนั้น อาจถูกยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สิน เพื่อนำเงินมาชำระภาษีค้างชำระ เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
ที่ดินย่านที่มีราคาสูง ที่อาจตารางวาละหลายแสน เจ้าของที่ดินจึงหันมาปลูกพืชสวนครัว เพื่อจะได้ถือว่า มีการทำประโยชน์จากที่ดิน ในประเทศญี่ปุ่นมีการปลูกพืชบนที่ดินกลางกรุงโตเกียว เพื่อเลี่ยงภาษีที่ดินเช่นกัน
การมีนโยบายเช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็นข่าวร้ายสำหรับคนไทย หลายคนอาจอยากเข้าทำประโยชน์ แต่สภาพเศรษฐกิจไม่ดี จึงไม่มีความพร้อมด้านเงินทุน และยังไม่มีสาธารณูปโภคที่ดีพอ
รัฐบาลควรทบทวนนโยบายที่จะยึดคืนที่ดินไม่ใช้ประโยชน์ เพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนกับประชาชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี