nn ต้องยอมรับว่าเหตุที่เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในระดับเพียง 2-3% ต่อปีติดต่อกันมานานร่วม 10 ปี ก็เพราะว่าเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย4 ตัวนั้นเดินเครื่องไม่พร้อมกัน บางช่วงก็เพิ่งพาแต่การส่งออก บางช่วงก็พึ่งพาแต่การท่องเที่ยว และบางช่วงก็ได้แรงหนุนบ้างจากการลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐ เช่นเดียวกับปีนี้ที่ภาคการส่งออกดูเหมือนจะอ่อนแรงลง จึงต้องหวังพึ่งเพียงภาคการท่องเที่ยวเท่านั้น ซึ่งรายได้จากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องนั้น คิดเป็น 20% ของ GDP ดังนั้น หากจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากกว่าระดับ 3% ก็ต้องทำให้เครื่องยนต์ตัวอื่นนั้นทำงานด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะภาคการส่งออก ซึ่งเวจน้ำหนักมากถึง 65% ของ GDP ซึ่งหากภาคการส่งออกจะทำงานได้ดีก็จะทำให้เครื่องยนต์ตัวอื่นเช่น การลงทุนภาคเอกชนและภาคการผลิตของเอกชน ขยายตัวได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่าภาคการส่งออกของไทยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับภาวะของเศรษฐกิจโลก และภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าด้วย ซึ่งปีนี้แน่นอนว่าทั้ง 2 ส่วนนั้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งเรื่องภาวะเงินเฟ้อโลก วิกฤตพลังงาน และปัญหาห่วงโซ่อุทาน ที่เป็นผลมาจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน
เมื่อสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อภาคเอกชนภาคการผลิตของไทย เราก็ต้องสร้างแต้มต่อสร้างเครื่องมือมาเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนไทย ซึ่งเมื่อพูดถึงขีดความสามารถในการแข่งขัน ก็ต้องยอมรับว่าขณะนี้ภาคเอกชนของไทยนั้นถูกบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันด้วย ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงและต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางปี 2565 จนถึงต้นปีนี้
จากข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พบว่า ปัญหาค่าไฟฟ้า เป็นปัญหาที่สั่งสมมานานและยังไม่ได้รับการแก้ไขซึ่งหากศึกษาอย่างละเอียด จะพบว่าต้นต่อของปัญหามาจากหลายๆ ปัจจัย ทั้งจากนโยบายด้านพลังงาน และการจัดการเรื่องไฟฟ้า, การผูกขาด กระจุกตัวของผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย, การละเลยผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศ ตลอดจนข้อสงสัยในการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนบางราย
ทั้งนี้ นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้กล่าวในตอนหนึ่งของการแถลงข่าว เรื่องปัญหาค่าไฟฟ้าแพงว่า ต้องยอมรับว่าสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าของไทยสูงกว่าประเทศอื่น คือ 1.พึ่งพาการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามากเกินไป รวมทั้งการขาดแผนสำรองที่ดี ในการบริหารก๊าซฯในอ่าวไทยที่ลดน้อยลง ขณะที่ยังใช้ระบบการซื้อไฟฟ้า แบบ Cost Plus จากพลังงานฟอสซิล 2.การให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนในสัดส่วนที่สูงจนเกินไป รวมทั้งเงื่อนไขในสัญญาที่มี Margin สูง รวมทั้งผลักภาระไปในค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) อย่างไม่เหมาะสม
3.กำลังผลิตของโรงไฟฟ้ามากกว่า ความต้องการใช้ถึง 54% จากปกติควรอยู่ที่ 15% เพราะเป็นภาระต้นทุนของประเทศในระยะยาว (จ่ายค่าความพร้อมจ่ายหรือ AP และการเดินโรงไฟฟ้าที่ไม่เต็มกำลังการผลิตจะมีต้นทุนที่สูง) และคาดการณ์ความต้องการใช้สูงเกินไป 4.การซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนมากเกินความจำเป็นจนทำให้โรงไฟฟ้าเอกชนมีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้ามากเกินไปเมื่อเทียบกับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของกฟผ.ที่ลดลง (กฟผ. 32%, IPP 31%, SPP 17%, นำเข้าและแลกเปลี่ยน 12% และ VSPP 8%) ซึ่งทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น จากค่า AP (จ่าย IPP) และค่า CP (จ่าย SPP) ตามสัญญาเสือนอนกินที่ยังไม่มีใครแก้ไข
นอกจากนี้ กฟผ. ยังแบกรับภาระหนี้ค่าไฟฟ้าเพียงรายเดียว (จากการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องแบกภาระช่วยกลุ่มเปราะบางตามนโยบายภาครัฐ)เกินกำลังที่มีอยู่ จนขาดสภาพคล่อง ขณะที่ภาครัฐไม่สามารถบังคับให้โรงไฟฟ้าเอกชนช่วยได้ ทั้งๆ ที่มีกำไรสูงมาก โดยประชาชน และภาคธุรกิจจ่ายค่าไฟฟ้าแพง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายอิศเรศกล่าวว่าปัญหาค่าไฟฟ้ามี 4 คำถามที่ต้องการคำตอบจากผู้รับผิดชอบคือ ช่วง 1.ช่วงที่ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)แพงทำไมไม่เดินโรงไฟฟ้าที่ถูกกว่า และมีกำลังการผลิตเหลือให้เต็มที่ เช่น โรงไฟฟ้าจากดีเซล, Biogas, Biomass ควรใช้หลัก Incremental Cost 2.การที่ประเทศไทย ต้องไปแย่งซื้อ LNG ช่วง Peak demand ทำให้เราจ่ายแพงไปหรือไม่ 3.ทำไมไม่รีบปลดล็อกพลังงานแสงอาทิตย์ และ 4.การจัดสรรก๊าซฯ ในอ่าวไทย เหมาะสม และเป็นธรรมหรือไม่
“เหตุผลที่ค่าไฟงวดหน้า (พ.ค.-ส.ค.ไม่ควรเกินหน่วยละ 5 บาท เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นร่วม 15% ค่าพลังงานทั้งดีเซลอื่นๆ และ LNG ที่ต่ำลง ขณะที่ปริมาณก๊าซฯ ในอ่าวไทยซึ่งมีราคาถูก มีจำนวนมากขึ้นตามลำดับ โดยในระยะกลางถึงระยะยาว ต้องปรับโครงสร้างกำลังการผลิต และต้นทุนของโรงไฟฟ้าเอกชน ชะลอการขยายโรงไฟฟ้าประเภทฟอสซิล เพื่อลดกำลังการผลิตส่วนเกิน เน้นการเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ต้นทุนต่ำ ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยพิจารณาซื้อโรงไฟฟ้าเอกชน มาเป็นของภาครัฐจากค่า AP ที่จ่ายไป หรือ ทบทวนค่า AP/CP ให้เหมาะสม” นายอิศเรศกล่าว
ถึงตรงนี้...หมุนตามทุน...ก็เห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผู้รับผิดชอบทุกภาคส่วนควรร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อลงมือแก้ไขปัญหา ทั้งในระยะสั้นแบบเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว (ปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าทั้งระบบ) เพราะเรื่องนี้ส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยทั้งในด้านการส่งออก การผลิต และเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สำคัญคือส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อซึ่งส่งผลต่อประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี