nn ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคการใช้พลังงานสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหลายๆ ประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง มีเป้าหมายที่แน่ชัดสำหรับกรอบแผนพลังงานชาติของประเทศไทยก็มีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยมุ่งสู่พลังงานสะอาด เข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emission) ภายในปี ค.ศ.2050 และ 2065 ตามลำดับ
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังโฟกัสเรื่องการเลือกตั้ง จะเห็นว่าพรรคการเมืองต่างๆ หาเสียงถึงนโยบายพลังงานอย่างเข้มข้น ส่วนใหญ่เน้นนโยบายลดราคาพลังงานเป็นหลัก ยังไม่ค่อยเห็นพรรคไหนชูนโยบายพลังงานสีเขียวเท่าไหร่ ขณะเดียวกัน สไตล์พรรคการเมืองก็มักจับตามองรัฐบาลรักษาการว่า จะทำอะไรผิดเพี้ยนไปหรือไม่ เช่น กรณีทีมเศรษฐกิจของพรรคไทยสร้างไทยได้โยนระเบิดโดยเฉพาะประเด็นที่รัฐบาลโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ทิ้งทวนอนุมัติรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนกว่า 5,000 เมกะวัตต์ และอนุมัติเพิ่มอีกกว่า 3,000 เมกะวัตต์ไปเมื่อเร็วๆ นี้
การอนุมัติรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 5,203 เมกะวัตต์ไม่ได้เพิ่งมาทำ แต่เป็นมติ กพช. ตั้งแต่ปีที่แล้วเมื่อ 6 พ.ค.2565 ซึ่งเป็นขั้นตอนดำเนินการที่ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ดำเนินการหลังจากนั้นและเพิ่งประกาศผลออกมา ซึ่งถือว่าการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผน PDP 2018 Rev 1 ช่วงปี 2564-2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ให้สอดคล้องกรอบแผนพลังงานชาติที่มีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยมุ่งสู่พลังงานสะอาด สอดรับกับทิศทางพลังงานสีเขียวของโลกที่เกือบทุกประเทศมุ่งไปสู่
นอกจากนี้ การอนุมัติรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มอีก 3,668 เมกะวัตต์ก็เป็นการต่อยอดการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบ แต่ที่สำคัญคือเป็นรูปแบบซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟของประชาชนและแม้ว่าพรรคการเมืองจะมองว่า ภาครัฐไม่ให้ความสำคัญกับคนเล็กคนน้อย มีการรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ภาคประชาชนแค่ 10 เมกะวัตต์นั้น ก็เป็นไปตามแผน PDP เช่นกัน โดยมีเป้าหมายรับซื้อปี 2565-2573 รวม 90 เมกะวัตต์ หรือเปิดรับเฉลี่ยปีละ 10 เมกะวัตต์ โดยเป็นการประเมินตามศักยภาพที่เป็นจริง เพราะหากรับซื้อมากเกินไปก็จะเป็นภาระต่อประชาชนในระยะยาวด้วยเช่นกัน
ขณะที่ประเด็นเรื่องอัตราการสำรองไฟฟ้าที่มักอ้างอิงตัวเลขว่าไทยมีสูงเกิน 50% ของความต้องการใช้นั้น จำได้ว่า
กระทรวงพลังงานก็ออกโรงแจงหลายรอบว่า ตัวเลขแท้จริง 36% ซึ่งเรื่องอัตราการสำรองไฟฟ้านั้นทุกประเทศจำเป็นต้องมีเพื่อรองรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจทำให้ไม่สามารถผลิตฟ้าได้ตามปกติ เช่น แหล่งก๊าซธรรมชาติหยุด
ซ่อมบำรุง โรงไฟฟ้าเกิดเหตุขัดข้อง อีกทั้งโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะพึ่งพา 100% ไม่ได้จึงต้องมีการเผื่อไว้
อย่างไรก็ดี จากการศึกษาข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน พบว่าการสำรองไฟฟ้าของไทยจะเริ่มลดลงหลังจากความต้องการใช้ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย และมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้นโดยคาดว่าอัตราการสำรองไฟฟ้ากลับสู่ระดับที่เหมาะสม 15% ภายหลังปี พ.ศ. 2568
สุดท้าย อยากฝากประชาชนที่ต้องใช้สิทธิเลือกตั้งฟังความให้รอบคอบ เพราะแค่วาทกรรมอาจไม่เพียงพอ ต้องดูข้อมูลรอบด้านประกอบทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ลำพังการหาเสียงเรื่องลดราคาพลังงานที่ดูหวือหวา แต่ในแง่ความเป็นจริงจะบริหารจัดการอย่างไร โดยเฉพาะงบประมาณด้านการเงินการคลัง ตลอดจนโครงสร้างราคาพลังงานในระยะยาว เพราะไม่เช่นนั้น ภาระก็ตกมาอยู่แก่พวกเราภาคประชาชนอยู่ดี
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี