วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ll ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าได้กลับมาเป็นประเด็นเชิงเศรษฐกิจและสังคมที่ทั่วโลกและประเทศไทยไม่อาจมองข้าม เนื่องจากเป็นสาเหตุของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ตลอดจนก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง อีกทั้งยังเป็นการทำลายแหล่งกักเก็บและดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ จากข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) ระบุว่า พื้นที่ป่าไม้ลดลงเฉลี่ย 5 ล้านเฮกตาร์/ปี หรือราว31 ล้านไร่/ปี จากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าที่เกิดขึ้น ทำให้สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ได้มีการประกาศใช้กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation-free Regulations:EUDR) เพื่อจำกัดการทำลายป่าที่เกิดขึ้นทั่วโลก อันเนื่องมาจากการทำอุตสาหกรรมป่าไม้ และการเพาะปลูกทางการเกษตร ซึ่งครอบคลุมสินค้า 7 ชนิดที่มีความเสี่ยงในการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ โดยกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation-free Regulations: EUDR) คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับลดการผลิตและการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการตัดไม้ทำลายป่า และทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของป่า โดยมีผลบังคับใช้ในสินค้า 7 ชนิด ได้แก่ 1.วัว 2.กาแฟ 3.โกโก้ 4.ถั่วเหลือง 5.ปาล์มน้ำมัน 6.ยางพารา และ 7.ไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้
ผู้ประกอบการที่จะนำสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการ EUDR ตามที่แสดงรายละเอียดในตาราง มาจำหน่ายใน EU รวมถึงส่งออกไปนอก EU ได้ จะต้องผ่านเงื่อนไขที่สำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ 1.สินค้านั้นต้องมีที่มาจากแหล่งที่ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า หลังจากปี 2563 เป็นต้นไป 2.สินค้าต้องมาจากกระบวนการผลิตที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต เช่น กฎหมายที่ดิน กฎหมายแรงงานและสิทธิมนุษยชน กฎหมายสิ่งแวดล้อม และภาษี เป็นต้น และ 3.สินค้าต้องได้รับการตรวจสอบและประเมินสินค้า (Due Diligence) ตามขั้นตอนที่กำหนดซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ 1.การรวบรวมข้อมูลตลอดห่วงโซ่การผลิต (Information collection) 2.การประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า (Risk assessment) และ 3.การจัดทำแนวทางในการลดความเสี่ยง (Risk mitigation) โดยผู้ประกอบการใน EU จะต้องส่งรายงานการตรวจสอบ (Due Diligence Statement) ก่อนจะนำเข้าหรือส่งออกสินค้า
มาตรการ EUDR มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อ 29 มิ.ย. 2566 แต่ยังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านเพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม อีกทั้งยังอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อระบุความเสี่ยงด้านการตัดไม้ทำลายป่าของประเทศต้นทางที่ส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการมายัง EU โดยในช่วงปลายปีนี้คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) จะประกาศรายชื่อประเทศตามความเสี่ยงด้านการตัดไม้ทำลายป่า3 ระดับ คือ ความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงมาตรฐานและความเสี่ยงต่ำ โดยในแต่ละกลุ่มประเทศจะถูกตรวจสอบว่าปฏิบัติตามเงื่อนไขของ EUDR หรือไม่ สำหรับการนำเข้าสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการจากประเทศที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงต่ำ จะมีการสุ่มตรวจ 1% ของจำนวนผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาจำหน่ายใน EU ขณะที่การนำเข้าจากประเทศที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงมาตรฐานและสูงจะถูกสุ่มตรวจที่ 3% และ 9% ตามลำดับ โดยมาตรการ EUDR จะมีผลในทางปฏิบัติ วันที่30 ธ.ค. 2567 สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ใน EU และในระยะต่อมาจะบังคับใช้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (SME) ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2568
Krungthai COMPASS มองว่าผู้ประกอบการยางพาราของไทย มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการ EUDR มากที่สุด เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในสินค้าอีก 6 ชนิด จากการวิเคราะห์ 2 ปัจจัยหลักคือ1.มูลค่าการส่งออกสินค้าไปยัง EU และ2.ความพร้อมของผู้ประกอบการ โดยให้น้ำหนักกับปัจจัยด้านมูลค่าการส่งออกเป็นสำคัญ โดยยางพาราเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปยัง EU มากที่สุดในบรรดาสินค้า 7 ชนิดในปี 2566 ที่มีมูลค่ารวมกัน 1,322 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 48,305 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 93.4% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการจากไทยไป EU ขณะที่สินค้าอีก 6 ชนิด มีมูลค่าการส่งออกรวมกันเพียง 94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,438 ล้านบาทหรือคิดเป็นเพียง 6.6%
หากประเมินผลกระทบต่อผู้ประกอบการยางไทย เมื่อ EUDR มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ Krungthai COMPASS คาดว่าหาก EUDR มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ ผู้ประกอบการยางไทยมีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบทั้ง1.การผลักภาระต้นทุนในการทำ Due Diligenceของผู้นำเข้าฝั่ง EU มายังผู้ประกอบการไทย และ 2.ปริมาณส่งออกที่ลดลง จากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกสินค้ายางพาราไปยัง EU โดย ผลกระทบจากภาระต้นทุนในการทำ Due Diligence นั้นผู้นำเข้าฝั่ง EU มีโอกาสที่จะผลักภาระต้นทุนในการทำ Due Diligence มายังฝั่งประเทศผู้ส่งออก ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนของผู้ส่งออกยางพาราไทย จากรายงาน Impact Assessment โดยคณะกรรมาธิการยุโรป ประเมินว่า จากผลของมาตรการ EUDR ผู้ประกอบการ EU ที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าทั้ง 7 ชนิดจะต้องมีภาระต้นทุนในการลงทุนระบบการทำ Due Diligence ในครั้งแรกราว 5,000-90,000 ยูโร/ผู้ประกอบการและมีต้นทุนในการจัดทำรายงาน Due Diligenceทั้ง 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง 2) การประเมินความเสี่ยง และ 3) การจัดทำแนวทางในการลดความเสี่ยง คิดเป็น 0.29-4.30% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้า หากประเมินการส่งผ่านต้นทุนโดยคิดเป็นสัดส่วนเดียวกันเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกสินค้ายางพาราที่อยู่ภายใต้มาตรการไปยัง EU ผลกระทบจะมีมูลค่ากว่า 4-64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี หรือคิดเป็น 158-2,338ล้านบาท/ปี
ส่วน ผลกระทบจากปริมาณส่งออกที่ลดลง จากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันนั้นประเทศที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงมาตรฐานถึงสูงในการตัดไม้ทำลายป่ามีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและอาจหลุดออกจากห่วงโซ่อุปทาน จากการที่ผู้นำเข้าฝั่ง EU มีแนวโน้มที่จะหันไปนำเข้ายางพาราจากประเทศที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงต่ำเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากภาระงานในการจัดทำรายงาน Due Diligenceที่น้อยกว่าและผลประโยชน์ด้านการประหยัดต้นทุน สำหรับกรณีของประเทศไทย ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยางพาราของไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางด้านปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากดัชนีปริมาณการส่งออกสินค้ายางพาราที่สำคัญของไทยจะเห็นว่าสินค้าเกือบทุกกลุ่มมีปริมาณการส่งออกลดลง ยกเว้นสินค้าในกลุ่มถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางเภสัชกรรม
มาตรการ EUDR เป็นเพียงหนึ่งในความท้าทายของอุตสาหกรรมยางไทย ท่ามกลางเวทีการค้าโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในระยะข้างหน้าคาดว่าการนำหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นเงื่อนไขหรือข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น จำเป็นที่ผู้ประกอบการยางไทยต้องก้าวให้ทันกับมาตรฐานและมาตรการทางการค้าที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรักษาบทบาทการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยางของโลก
ดังนั้นผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าทั้ง 7 ชนิด รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ควรเตรียมความพร้อมโดยเริ่มปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรการ EUDR เช่น มีเอกสารสิทธิถูกต้องในการถือครองตามกฎหมายในที่ดิน ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน และรับซื้อผลผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ประกอบการรวมถึงภาครัฐต้องติดตามและให้ความสำคัญกับมาตรฐานและมาตรการทางการค้าที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่มีแนวโน้มจะถูกนำมาใช้เป็นเงื่อนไขหรือข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและช่วยลดอุปสรรคทางการค้า
Krungthai COMPASS

ตำรวจวิสามัญ 'บอย บางกรวย' ผู้ต้องหาคดียา เหิมชักปืนยิงสู้ ขณะถูกปิดล้อมจับ
จุฬาราชมนตรี ประกาศแนวทาง ผู้นับถืออิสลาม ถวายอาลัยพระบรมศพ การแต่งกายไว้ทุกข์
'เปิ้ล นาคร'โพสต์ซึ้งถึง 'จิตอาสา' ผู้เสียสละ! ลั่น'โคตรเหนื่อย โคตรเสี่ยง' แต่สุขใจที่ได้เห็นรอยยิ้ม
สหรัฐฯจ่อยกเลิกคำสั่งห้ามซื้อขายอาวุธให้กัมพูชา หลังเห็นความมุ่งมั่นแสวงหาสันติภาพ
'มาดามแป้ง'ทำได้! ดึง'จู๊ด เบลล์' เล่นทีมชาติไทย พร้อมลุยฟีฟ่าเดย์ พ.ย. นี้

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี