ll ปัจจุบัน ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจ โรงกลั่นน้ำมันทั้งหมดในไทยมีจำนวน 7 ราย ได้แก่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC)บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) บมจ.บางจาก ศรีราชา (BSRC) และโรงกลั่นน้ำมันฝาง (FANG) โดยมีกำลังการผลิตรวมราว 1.242 ล้านบาร์เรล/วัน (197.5 ล้านลิตร/วัน) ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันทั้งหมดมีความซับซ้อนในระดับปานกลาง จึงเหมาะกับการใช้น้ำมันดิบชนิด Sour Medium อย่างน้ำมันดิบจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ในการกลั่นน้ำมัน ส่งผลให้ไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากแหล่งดังกล่าวมากที่สุด นอกจากนั้น โรงกลั่นน้ำมันส่วนใหญ่มีกำลังการผลิตน้ำมันดีเซล และ Jet Fuel มากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปของไทย ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 โรงกลั่นน้ำมันของไทยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.367 ล้านบาร์เรล/วัน (217.3 ล้านลิตร/วัน) หลังจากโครงการ Clean Fuel Project (CFP) ของ TOP จะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงเวลาดังกล่าวซึ่งจะทำให้ TOP มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 2.75 แสนบาร์เรล/วัน เป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน และมีโรงกลั่นน้ำมันที่มีความซับซ้อนในระดับสูง ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นของไทยสามารถใช้ น้ำมันดิบชนิด Sour Heavy ในการกลั่นน้ำมันได้มากขึ้น และส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของธุรกิจโรงกลั่นของไทยในระยะข้างหน้า
วิเคราะห์ผลประกอบการของธุรกิจนี้ในระยะสั้น (ปี 2567-69) Krungthai COMPASSประเมินว่า ผลประกอบการของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันมีแนวโน้มลดลงในปี 2567 แล้วค่อยปรับตัวดีขึ้นในช่วงปี 2568-69 และสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 (ปี 2562) โดยมีปัจจัยสนับสนุน 2 ประการ 1. ปริมาณการใช้น้ำมันสำเร็จรูปของไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 54.6 พันล้านลิตรในปี 2566 เป็น 59.1พันล้านลิตรในปี 2569 หรืออัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 2.8% CAGR ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 (ปี 2562 อยู่ที่ 57.5พันล้านลิตร) โดยมีสาเหตุ 3 ประการ 1.1 การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงปี 2566-69 คาดว่าจะช่วยหนุนให้ความต้องการใช้ Jet Fuel มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 17.3% 1.2 การขยายตัวของตลาด E-commerceอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ความต้องการใช้มอเตอร์ไซค์รวมถึงยานพาหนะอื่นๆ ในการขนส่งสินค้ามากขึ้น 1.3 การฟื้นตัวของภาคส่งออกและภาคอุตสาหกรรม จะส่งผลให้ความต้องการขนส่งสินค้าในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
2.ค่ากลั่นน้ำมันของโรงกลั่นน้ำมันในไทย คาดว่าจะอยู่ราว 5.0 5.4 และ 5.5 USD/บาร์เรลตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 (ปี 2562 อยู่ที่ 3.4 USD/บาร์เรล)เพราะนอกจากปริมาณการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นในปี 2567-69 จะทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันในไทยเพิ่มขึ้นในปี 2568-69 ซึ่งช่วยหนุนให้ค่าการกลั่นน้ำมันโดยเฉลี่ยของไทยอยู่ในระดับสูงแล้ว ยังมีปัจจัยหนุนอื่นๆ ได้แก่ 2.1 ค่าการกลั่นน้ำมันในตลาดสิงคโปร์ (SIMEX) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการกำหนดค่าการกลั่นน้ำมันของไทยคาดว่าจะอยู่ราว 5.0 5.3 และ 4.9 USD/บาร์เรลในปี 2567-69 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 (ปี 2562 อยู่ที่3.7 USD/บาร์เรล) เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่ากำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันในปี 2568 ซึ่งเกิดจากการที่สหภาพยุโรปที่มีแผนที่จะปิดโรงกลั่นน้ำมันจำนวนมากในปี 2568 อีกทั้ง รัสเซียมีแนวโน้มจะลดกำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปในปี 2568 ซึ่งส่งผลให้ความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปจากเอเชีย ซึ่งรวมถึงสิงคโปร์เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งส่งผลดีต่อค่าการกลั่นน้ำมันโดยเฉลี่ยของไทย
ในระยะยาว ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปของไทยคาดว่าจะเติบโตจนถึงปี 2573 ก่อนที่จะลดลงเฉลี่ยปีละ 0.6% CAGR ในช่วงปี 2573-78 เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV มากขึ้นเพื่อทดแทนการใช้รถยนต์สันดาป 8 อีกทั้งยังมีสาเหตุเพิ่มเติมจากภาครัฐที่มีแนวโน้มออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นมากขึ้นรวมทั้งสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ไทยสามารถบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 ซึ่งคาดว่าจะกดดันให้ความต้องการใช้และยอดขายน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน และก๊าซ LPG ของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของไทยลดลงในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างไรก็ดี ความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปบางประเภท ได้แก่ Jet Fuel มีโอกาสเติบโต จากความต้องการใช้ Jet Fuel ในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตามความต้องการในการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศและในประเทศ ดังนั้น ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้อาจสามารถปรับตัวโดยการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปประเภทดังกล่าวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
อุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่งรวมถึงธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากทั้งในรูปแบบทางตรงจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากในกระบวนการกลั่นน้ำมัน และในรูปแบบทางอ้อมจากการผลิตสินค้าที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเข้มข้นมากขึ้นซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อยอดขายน้ำมันสำเร็จรูป รวมทั้งอาจส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันเสียค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมที่สูงขึ้นในอนาคต
แนวทางที่ปรับตัว เช่น 1.ควรเข้าสู่ธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (เชื้อเพลิง SAF) เนื่องจากธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการใช้เชื้อเพลิง SAF ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 77 ล้านลิตรในปี 2569 เป็น 955 ล้านลิตรในปี 2579 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 28.6% CAGR ตามความต้องการใช้ของสายบินชั้นนำของโลก ทั้งนี้ โรงกลั่นน้ำมันที่สามารถถูกดัดแปลงให้สามารถผลิตเชื้อเพลิง SAFโดยไม่ต้องก่อสร้างโรงงานใหม่ 2.ควรติดตั้งCompabloc heat exchanger ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนความร้อนในกระบวนการกลั่นน้ำมันแทนที่ Process shell-and-tube heatexchanger ซึ่งนิยมใช้ในโรงกลั่นน้ำมันของไทย เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าวเพิ่มการหมุนเวียนพลังงานความร้อนที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ราว 25% ซึ่งส่งผลให้โรงกลั่นน้ำมันสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานราว 10-20% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกไซด์จากกระบวนการกลั่นน้ำมัน โดยค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่องดังกล่าวที่อยู่ระหว่าง 1-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (35-175 ล้านบาท) สำหรับโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ซึ่งคุ้มค่าในการลงทุนภายใน 2-4 ปี
3.ควรหันมาใช้กรีนไฮโดรเจนในการลดกำมะถันของน้ำมันดีเซล รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพน้ำมันสำเร็จรูปในกระบวนการกลั่นน้ำมัน แทนที่การใช้เกรย์ไฮโดรเจน ซึ่งนิยมใช้ในปัจจุบัน เนื่องจากการผลิตกรีนไฮโดรเจนปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 0.4-1.7 kg CO2e/กิโลกรัม ของไฮโดรเจน ซึ่งน้อยกว่าการผลิตเกรย์ไฮโดรเจนที่ปล่อยก๊าซดังกล่าวสูงถึง 8-16 kg CO2e/กิโลกรัมของไฮโดรเจน อย่างไรก็ดี แม้ว่าปัจจุบันต้นทุนการผลิตก๊าซกรีนไฮโดรเจนยังอยู่ในระดับสูงกว่าต้นทุนการผลิตเกรย์ไฮโดรเจนค่อนข้างมาก แต่PricewaterhouseCoopers (PwC.) คาดว่าต้นทุนการผลิตก๊าซกรีนไฮโดรเจนในไทยจะมีแนวโน้มลดลงจาก 4.7-4.9 ดอลลาร์สหรัฐ/กิโลกรัมของไฮโดรเจน (165-172 บาท/กิโลกรัมของไฮโดรเจน) ในปี 2563 เป็น 2.4-2.7 ดอลลาร์สหรัฐ/กิโลกรัมของไฮโดรเจน (86-93 บาท/กิโลกรัมของไฮโดรเจน)ในปี 2574 ซึ่งเป็นปีที่คาดว่าจะเริ่มมีการผลิตกรีนไฮโดรเจนในไทย
Krungthai COMPASS
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี