ปัจจัยใหม่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าตลาดสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลก จากนโยบายสำรอง Bitcoin ระดับประเทศ สู่การปฏิรูปกฎหมายและเทคโนโลยีล้ำสมัย กรุงเทพฯ-อุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีในเดือนมิถุนายน 2025 กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อประเทศมหาอำนาจทั่วโลกเริ่มมอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์ ขณะที่กฎหมายใหม่และนวัตกรรมเทคโนโลยีกำลังสร้างโอกาสใหม่ให้นักลงทุนและผู้ประกอบการ
ปากีสถาน-สหรัฐฯ นำทัพแข่งสะสม “ทองคำดิจิทัล”
ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาที่สุดคือการแข่งขันสะสม Bitcoin ระหว่างประเทศต่างๆ ที่กำลังเข้มข้นขึ้นสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2025 เพื่อจัดตั้ง “Strategic Bitcoin Reserve” และ “United States Digital Asset Stockpile” โดยใช้ Bitcoin ที่รัฐบาลยึดทรัพย์สินในคดีต่างๆ ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 ปากีสถาน ได้ประกาศแผนการจัดตั้ง “Strategic Bitcoin Reserve” อย่างเป็นทางการ โดยรัฐบาลจะเก็บบิตคอยน์ในกระเป๋าเงินของรัฐและไม่มีแผนขายในอนาคตอันใกล้ “นี่เป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่จะช่วยให้ปากีสถานมีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว” โฆษกรัฐบาลปากีสถานกล่าว พร้อมเผยว่าประเทศได้จัดสรรพลังงานไฟฟ้า 2,000 เมกะวัตต์เพื่อสนับสนุนการขุด Bitcoin และพัฒนาศูนย์ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์
นักวิเคราะห์มองว่าการเคลื่อนไหวของสองชาตินี้สะท้อนถึงการยอมรับ Bitcoin เป็น “ทองคำดิจิทัล” แห่งยุคใหม่ และอาจกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกดำเนินรอยตามในอนาคตอันใกล้
อินเดีย-สหรัฐฯ ปรับกฎหมายดึงดูดนักลงทุน
ด้านการปฏิรูปกฎหมายก็มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง อินเดีย กำลังเผชิญแรงกดดันจากอุตสาหกรรมคริปโตให้ลดอัตราภาษีที่สูงเกินไป ปัจจุบัน นักลงทุนคริปโตในอินเดีย ต้องเสียภาษีเงินได้จากการลงทุนสูงถึง 30% และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2022 “ภาษีที่สูงเกินไปทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในประเทศอื่น เราต้องการให้รัฐบาลปรับลดเพื่อกระตุ้นการเติบโตของตลาด” ตัวแทนสมาคมคริปโตอินเดียกล่าว
ในขณะที่ สหรัฐอเมริกา กำลังก้าวหน้าไปอีกขั้น เมื่อวุฒิสภาได้ผ่านร่างกฎหมาย “GENIUS Act”เพื่อกำหนดกรอบกฎหมายสำหรับสเตเบิลคอยน์ โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องผ่านการตรวจสอบบัญชีอย่างเข้มงวด และห้ามเสนอผลตอบแทนที่เกินความเป็นจริง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมองว่ากฎหมายใหม่นี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนและเสริมสร้างความมั่นคงของระบบการเงินดิจิทัลโดยรวม
เทคโนโลยีใหม่ขับเคลื่อนการเติบโต
นอกจากนโยบายและกฎหมายแล้ว นวัตกรรมเทคโนโลยียังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะตลาด สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) ที่คาดว่าจะขยายตัวจาก 2.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็น 3.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 หรือเติบโตถึง 22% ต่อปี การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้งานในแอปพลิเคชั่นแบบกระจายอำนาจ (dApps) ความต้องการด้านความปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ
อีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าสนใจคือการผสมผสานระหว่าง บล็อกเชนกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ การเงิน และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน โดยบล็อกเชนช่วยในการตรวจสอบความถูกต้องและความโปร่งใส ขณะที่ AI ช่วยในการวิเคราะห์และคาดการณ์ข้อมูล ทำให้เกิดนวัตกรรมและประสิทธิภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน
มองอนาคตอุตสาหกรรมคริปโต
ความเคลื่อนไหวในเดือนมิถุนายน 2025 ชี้ให้เห็นว่าคริปโตเคอร์เรนซีกำลังเข้าสู่ยุคของการยอมรับและการบูรณาการกับระบบการเงินหลักของโลก การที่ประเทศมหาอำนาจเริ่มสะสม Bitcoin เป็นสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์ การปรับปรุงกฎหมายเพื่อรองรับการเติบโต และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ล้วนเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอนาคตของอุตสาหกรรม นักวิเคราะห์คาดว่าเทรนด์เหล่านี้จะส่งผลให้ตลาดคริปโตมีความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น พร้อมเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้นักลงทุนและผู้ประกอบการทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่กำลังพัฒนาระบบนิเวศคริปโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
อนาคตของคริปโตจะเป็นอย่างไรในบริบทที่ชาติมหาอำนาจแลเทคโนโลยีกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า? น่าติดตามอย่างยิ่งว่าภูมิทัศน์ของสินทรัพย์ดิจิทัลจะเปลี่ยนไปในทิศทางใดต่อไป
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี