ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในโตเกียว นักข่าวได้พูดคุยกับเคอิ หนุ่มญี่ปุ่น วัย 24 ปี
ผู้ทำงานเป็นนักออกแบบให้บริษัทสตาร์ทอัพในสิงคโปร์ สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาไม่ได้ใช้ธนาคารแบบเดิมๆ เลย เคอิรับเงินเดือน เป็นเงินดิจิทัล แล้วเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือจ่ายค่าใช้จ่ายด้วยบัตรเดบิตจากบริษัทฟินเทคในยุโรป
เมื่อถามว่าเขาใช้ธนาคารไหม เขาตอบว่า “มีบัญชีตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้ใช้มานานแล้ว แอปพวกนี้สะดวกกว่า ไม่ต้องรอคิว ไม่ต้องเซ็นเอกสารเยอะ”
เคอิคือตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตในโลกการเงินรูปแบบใหม่-ไม่มีสาขาธนาคาร ไม่มีสมุดบัญชีและบางครั้งก็ไม่มีแม้แต่เงินสกุลประจำชาติในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา “ธนาคาร” คือสัญลักษณ์ของความมั่นคง เราฝากเงิน กู้ยืม ลงทุน และโอนเงินผ่านระบบที่ถูกควบคุมโดยภาครัฐ มีกฎเกณฑ์และความปลอดภัยชัดเจน แต่เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2020 เทคโนโลยีได้เริ่มเปลี่ยนทุกอย่าง คนทั่วไปสามารถกู้เงินจากโปรแกรมอัตโนมัติ เปิดบัญชีดิจิทัลภายในนาทีเดียว หรือแม้แต่ลงทุนโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง
โลกใหม่ที่ว่านี้มีชื่อเรียกว่า Fintech และ DeFi (Decentralized Finance)
พื้นที่ซึ่งโค้ดทำหน้าที่แทนคนกลางและผู้ใช้งานสามารถควบคุมทรัพย์สินของตัวเองได้โดยตรงหลังวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ความเชื่อมั่นต่อธนาคารแบบเดิมลดลง การถือกำเนิดของคริปโตเคอร์เรนซีจึงกลายเป็นทางเลือกหนึ่ง DeFi พยายามสร้างระบบการเงินที่ “ไม่มีใครเป็นศูนย์กลาง” ใครๆ ก็สามารถวางสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อกู้เงินสร้างรายได้จากการปล่อยกู้ หรือแม้แต่ร่วมบริหารจัดการระบบผ่าน DAO (องค์กรกระจายศูนย์) ในโลกจริง Fintech ก็เร่งตัวอย่างรวดเร็ว บริษัทอย่าง Revolut, Wise และ Virtual Bank ต่างๆ ในฮ่องกงและสิงคโปร์
กำลังเปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเดินเข้าธนาคาร ไม่ต้องรอเอกสารอนุมัติหลายวัน และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมแบบเดิมไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่ แม้แต่แรงงานต่างชาติ ผู้ประกอบการรายย่อย หรือเกษตรกรในชนบท ก็เริ่มเข้ามาอยู่ในโลกการเงินใหม่ที่ไม่มีเคาน์เตอร์บริการ แต่มีโทรศัพท์เครื่องเดียวเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง
แม้การเติบโตของระบบใหม่น่าตื่นเต้น แต่ก็ต้องแยกให้ออกจาก “กระแสเกินจริง”
ข้อมูลบางแหล่งอ้างว่าธนาคารดิจิทัลในเอเชียแปซิฟิกโต 60% ในปีเดียว ซึ่งไม่ถูกต้อง ตัวเลขจริงในปี 2023 เติบโตน้อยกว่านั้น และมูลค่ารวมในระบบ DeFi ณ สิ้นปีอยู่ราว 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงจากจุดสูงสุดที่เคยแตะ 3 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2021 แต่แม้ตัวเลขจะลดลง โครงสร้างพื้นฐานกลับแข็งแกร่งขึ้น ผู้เล่นในอุตสาหกรรมยังเดินหน้าต่อ
ที่สำคัญคือ สถาบันการเงินเดิมก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ธนาคารในยุโรปและอเมริกาเริ่มตั้งแผนกสินทรัพย์ดิจิทัลร่วมมือกับฟินเทคหลายเจ้า หรือทดลองปล่อยสินเชื่อบนบล็อกเชน ในไทย ธนาคารพาณิชย์เองก็เร่งปรับตัวพัฒนาแอปพลิเคชั่น เพิ่มบริการออนไลน์ และลดค่าธรรมเนียมเพื่อรักษาฐานลูกค้า
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้กระทบแค่คนหนุ่มสาว คนรุ่นเก่าก็เริ่มใช้งานแอปธนาคารมากขึ้น
ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งทุนใหม่ ลดต้นทุนและขยายกิจการได้อย่างรวดเร็วโลกการเงินยุคใหม่จึงไม่ได้เป็นแค่ “เรื่องของอนาคต” แต่คือ “ชีวิตประจำวัน” ของผู้คนในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมมีความเสี่ยง ระบบใหม่บางส่วนยังไม่มีการประกันเงินฝากเหมือนธนาคารเดิม
หลายคนถูกหลอกลวงจากแอปปลอม หรือเสียเงินเพราะกดลิงก์ผิดเพียงครั้งเดียว
โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ใช้งานที่ไม่คุ้นชินกับเทคโนโลยี จึงควรเริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัว เช่น ใช้แอปของธนาคารที่ตนเองคุ้นเคย ตรวจสอบใบอนุญาตของแพลตฟอร์มก่อนใช้งาน ไม่ใส่เงินทั้งหมดไว้ที่เดียว และอย่าเปิดเผยรหัสผ่านหรือ OTP ให้ใคร
คำถามสำคัญของยุคนี้ไม่ใช่ว่า “ธนาคารจะหายไปหรือไม่” แต่คือ “ธนาคารจะเปลี่ยนไปแค่ไหน” และ “เราจะปรับตัวทันหรือไม่”
เราอาจอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของคำว่า “ธนาคาร” จากอาคารจริง กลายเป็นโค้ดดิจิทัล จากสถาบันที่เราวางใจ กลายเป็นระบบที่เราควบคุมเอง และในโลกที่ใครก็สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินขึ้นมาเองได้
การรู้เท่าทันเทคโนโลยีจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือ “เกราะป้องกัน” ที่จำเป็นในยุคที่เงินไหลผ่านหน้าจอ ไม่ผ่านเคาน์เตอร์
การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นโอกาส...หรือกับดัก ขึ้นอยู่กับว่าเราเตรียมตัวรับมือมากแค่ไหน
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี