ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “คริปโตเคอร์เรนซี” หรือ“บล็อกเชน” อาจเคยถูกมองว่าเป็นเพียงเทคโนโลยีเฉพาะกลุ่ม เเละเป็นการลงทุนในรูปแบบหนึ่ง สำหรับคนที่เชื่อในอุดมการณ์การเงินแบบไร้ตัวกลาง แต่ในปี 2568 นี้ ภาพของโลกการเงินได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และหนึ่งในสิ่งที่ควรจะเปลี่ยนแปลงตาม คือ “ระบบการศึกษา”
วันนี้ บิตคอยน์ ไม่ใช่เพียงแค่สกุลเงินดิจิทัล แต่เป็นสินทรัพย์ที่สถาบันการเงินระดับโลกอย่าง BlackRock, Fidelity, Ark Invest หรือแม้แต่ธนาคารกลางของหลายประเทศเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่Ethereum กลายเป็นรากฐานของเศรษฐกิจ Web3 การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และสินทรัพย์แบบโทเคนไรซ์ (Tokenization) ที่เชื่อมโยงโลกจริงกับโลกดิจิทัล
สหรัฐฯ : ผู้นำด้านกฎหมายและการวางระบบคริปโต
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีการยอมรับและเตรียมโครงสร้างสำหรับคริปโตฯ อย่างจริงจังรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับ เช่น The Financial Innovation and Technology for the 21st Century Act (FIT21), The Digital Asset Market Structure and Investor Protection Act (CLARITY Act) และ The CBDC Anti-Surveillance State Act ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การกำกับดูแล แต่ยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนและนักพัฒนาเทคโนโลยีสามารถเติบโตได้โดยไม่ถูกขัดขวาง นอกจากนี้ องค์กรอย่าง SEC, CFTC หรือแม้แต่กระทรวงการคลัง ยังตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อติดตามผลกระทบของสินทรัพย์ดิจิทัลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ถือเป็นการยืนยันว่า “คริปโตไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่เป็นวาระของประเทศ”
ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้
ประเทศไทยแม้จะยังไม่ได้วางโครงสร้างคริปโตในระดับเดียวกับสหรัฐฯ แต่กำลังเดินตามเส้นทางเดียวกันหน่วยงานอย่าง ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทย ต่างก็เริ่มมีการจัดทำ Sandbox สำหรับ Stablecoin,ร่างเกณฑ์สำหรับ Tokenization ของสินทรัพย์, การผลักดันG-Token ของกระทรวงการคลัง รวมถึงโครงการ Tourist Wallet Sandbox ที่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการนำคริปโตมาใช้จริงในภาคการท่องเที่ยว และการตั้งเป้าให้ประเทศไทย เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินดิจิทัลของอาเซียนในอนาคต
อย่างไรก็ดี หากหยุดอยู่แค่ “การกำกับดูแล”โดยไม่มีการพัฒนา “ทุนมนุษย์” ควบคู่กันไป ประเทศไทย อาจตกขบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเงินครั้งนี้ไปในที่สุด
ทำไม “การศึกษา” จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
การสร้างความเข้าใจเรื่องบล็อกเชนและคริปโตฯ ควรเริ่มตั้งแต่ระดับ “ห้องเรียน” ไม่ว่าจะเป็นในระดับมัธยม มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่หลักสูตรอบรมระยะสั้นสำหรับประชาชนทั่วไป เทคโนโลยีนี้ไม่ได้มาชั่วคราว แต่คือโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่จะส่งผลกระทบต่อทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นักเรียนในวันนี้คือผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือข้าราชการในวันข้างหน้า และพวกเขาควรได้มีความเข้าใจว่าโลกการเงินที่พวกเขาจะเผชิญในอีก 10 ปีข้างหน้า กำลังเปลี่ยนไปจากสิ่งที่รับรู้กันในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
การลงทุนในระบบการศึกษา = การลงทุนในอนาคตของประเทศ
สกุลเงินดิจิทัลนี้เพิ่งมีอายุเพียง 16 ปี หากเทียบกับระบบการเงินโลกที่มีมานานกว่า 100 ปี นี่ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่พัฒนาเร็วเกินคาด ในเวลาไม่ถึงสองทศวรรษบิตคอยน์สามารถฝังตัวเข้าไปในพอร์ตการลงทุนของบริษัทจดทะเบียน, กองทุนบำเหน็จบำนาญ และแม้แต่รัฐวิสาหกิจบางแห่ง คำถามที่น่าคิดคือ หากเทคโนโลยีนี้จะไม่ได้ “ยิ่งใหญ่” อย่างที่หลายคนคาด แต่หากมันกลายเป็น “สิ่งปกติ” ที่อยู่รอบตัวแทนล่ะ? เยาวชนไทยควรมีโอกาส “เข้าใจ” และ “ตั้งคำถาม” กับเทคโนโลยีนี้ได้หรือไม่?
ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเดินตามสหรัฐฯ ทุกอย่างแต่เราต้องสร้าง “รากฐาน” ที่แข็งแกร่งสำหรับนักเรียนและประชาชน เพื่อให้ทุกคนพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เป้าหมายไม่ใช่แค่สร้าง “ผู้เชี่ยวชาญคริปโต” แต่คือการสร้าง “พลเมืองดิจิทัลที่มีความเข้าใจรอบด้าน”ถึงเวลาแล้วที่สถาบันการศึกษาและหน่วยงานภาครัฐจะต้องมองว่า “บล็อกเชน” และ “คริปโต” คือหัวข้อสำคัญของเศรษฐกิจใหม่ ที่ควรบรรจุเป็นเนื้อหาหลักสูตรร่วมกับเศรษฐศาสตร์ การเงิน กฎหมาย และเทคโนโลยีระบบการศึกษาของไทยไม่ควรเป็นเพียงผู้ตามเทคโนโลยีแต่ควรเป็นผู้นำในการสร้าง “นักคิด นักสร้าง และนักเข้าใจโลกใหม่” ด้วยบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนาคนไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การตามกระแส แต่คือการสร้างผู้นำแห่งอนาคต
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี