‘เจ้าสัวธนินท์’แนะไทยควรร่วมมือกับจีน เดินหน้าสู่ประเทศศูนย์กลางการผลิตสินค้าไฮเทค
** นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ได้กล่าวในงาน “Exclusive Dinner Talk ไทย-จีน THE GOLDEN ROAD FROM NOW TO ETERNITY” หัวข้อ “50 ปี ไทย-จีน The Golden Road : From Now to Eternity” ว่า ขณะนี้มองเห็นความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้า โดยเฉพาะ 30 ปีข้างหน้า จากการไปลงทุนในจีนที่ผ่านมารวมกว่า 46 ปี โดยย้อนไปช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา จีนเน้นเรื่องเทคโนโลยีไม่ใช่การค้าระหว่างประเทศอย่างเดียว แต่เน้นการผลิตร่วมด้วย ซึ่งสิ่งที่ประทับใจมากคือ การใช้หุ่นยนต์ เทคโนโลยี เครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อผลิตสินค้าของดีราคาถูกขายไปทั่วโลก จากนั้น 30 กว่าปีที่ผ่านมา ได้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมากมาย อาทิ หัวเว่ย อาลีบาบา เทนเซ็นต์ และยังมีตามมาอีก ซึ่งในวันนี้จีนมีคนเก่งเทคโนโลยี คนหนุ่ม 30 กว่าคนที่ลือชื่อและมีความรู้เรื่องเทคโนโลยีสูง ผลิตจรวด โดรน หุ่นยนต์ที่ความก้าวหน้า โดยมองว่าหากเป็นภาคการผลิตแล้ว ไม่มีประเทศไหนผลิตได้เร็วเท่าจีน เพราะจากการศึกษาเทคโนโลยีของจีน ไม่ได้ใช้แรงงานแต่ใช้สมอง ซึ่งคนใช้สมองก็ไม่ได้ทำงานแบบสบายๆ มีความทุ่มเทในการทำงานสูงมาก
นายธนินท์ กล่าวว่า ยกตัวอย่างผู้สร้างจรวดของจีน ที่ทดสอบยิงครั้งเดียวก็สำเร็จได้ ซึ่งมีโอกาสได้สอบถามมาว่าทำไมถึงทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว ผู้ผลิตดังกล่าวมีคำตอบคือ กำลังเงินไม่พอจึงต้องทำให้สำเร็จให้ได้ เพราะเป็นบริษัทส่วนตัว ทำให้แม้จรวดจะมีชิ้นส่วนประกอบเป็นแสนชิ้น แต่ใช้คนที่มีความรู้และทักษะสูง สร้างเสร็จแล้วใช้เวลา 5 เดือนในการตรวจสอบก่อนขึ้นยิงว่าส่วนใดมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งมีคนกว่า 200 คนที่มีความรู้สูงใช้เวลา 5 เดือนในการทำงานแบบไม่กลับบ้าน ทุ่มเท อดทน ใช้สมอง ไม่ได้ใช้แรงงานเท่านั้น ถึงจะสำเร็จ รวมถึงเทคโนโลยีอื่นอย่างหุ่นยนต์ หากสร้างจรวดได้แล้ว หุ่นยนต์ที่มีชิ้นส่วนไม่กี่หมื่นชิ้น หรือรถยนต์ที่มีชิ้นส่วนหลายหมื่นชิ้นแต่ไม่ถึงแสนชิ้น ก็สามารถผลิตได้เช่นกัน
ทั้งนี้สาเหตุที่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ เพราะมองว่าจากนี้จีนจะต้องผลิตสินค้าออกไปขายนอกประเทศทั่วโลก แต่เทคโนโลยีที่เป็นสมองจะอยู่ในจีน ทั้งชิ้นส่วนอัจฉริยะหรือสิ่งต่างๆที่เรามองไม่เห็นเหล่านั้น โดยมีข้อเสนอแนะคือ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าของอาเซียน ที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางจริงๆ และประเทศไทยมีการเดินนโยบายที่เป็นมิตรกับทุกคน ไม่สร้างศัตรู เคารพวัฒนธรรมอันดีงามของไทย รวมถึงใครก็อยากอยู่ในประเทศไทย โดยญี่ปุ่นมาลงทุนในไทยมากสุดเป็นกลุ่มรถยนต์ ซึ่งต่อจากนี้จะไม่ใช่รถยนต์แล้ว แม้ยังมีความสำคัญอยู่ แต่เรื่องเทคโนโลยีใหม่ อาทิ หุ่นยนต์ เครื่องจักรอัตโนมัติ จรวด ชิ้นส่วนไอโอที เอไอต่างๆ หากประเทศไทยมองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางการค้า จะเริ่มเป็นศูนย์กลางการผลิตได้ด้วยหรือไม่
“ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนสร้างพื้นฐานไว้แล้ว หากเรามีนโยบายที่ดีกว่าปัจจุบัน พวกสินค้าเทคโนโลยีที่ผลิตแล้วไม่ใช่ขายเพียงในไทยเท่านั้น แต่ไปขายต่างประเทศด้วย เพราะไทยมีขนาดเล็กมาก จำนวนประชากรประมาณ 60 ล้านคน อาเซียนมีประมาณ 600-700 ล้านคน เทียบกับจีนที่มีจำนวนประชากรกว่า 1,400 ล้านคน หากไทยทำธุรกิจกับจีน ต่างคนต่างไม่มีภาษี เชื่อว่าจีนแพ้ เพราะเสียเปรียบ แต่การที่ไทยจะได้เปรียบ ต้องมีการศึกษาก่อนว่า คนจีนต้องการอะไร ไทยจะสามารถผลิตสินค้าตอบสนองได้อย่างไร ผ่านการลงทุนเองและเชิญนักลงทุนต่างชาติเข้ามาร่วมด้วย”นายธนินท์ กล่าว
นายธนินท์ กล่าวอีกว่า ถ้าประเทศไทยไม่ศึกษาอย่างลึกซึ้งว่าประเทศจีนต้องการอะไร และประเทศไทยเองมีอะไรที่สามารถผลิตได้เพื่อส่งไปยังประเทศจีน ไทยเราก็จะแพ้ และแพ้เพราะเราไม่เตรียมตัวเองให้พร้อม เพราะถ้าไทยแพ้ ไทยก็ต้องไปศึกษาลึกๆว่า มีอะไรบ้างที่ ผิดจากเมืองไทยส่งให้กับทางจีน หรือไทยเรานั้นลืมผู้ผลิตในโลกนี้ หรือ จากจีนในเมืองไทย อีกทางหนึ่งคือ ไทยสามารถดึงนักประดิษฐ์จากทั่วโลก รวมทั้งจากจีน มาร่วมพัฒนานวัตกรรมในประเทศไทย จากนั้นส่งออกกลับไปยังจีนหรือทั่วโลก โดยการร่วมทุนในลักษณะ win-win ให้บริษัทจีนกลายเป็นบริษัทไทย หรือจดทะเบียนในไทยเช่นเดียวกับโมเดลของสหรัฐอเมริกา ซึ่งคนเก่งจากทั่วโลกสามารถมาสร้างบริษัทในอเมริกา และกลายเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นเชื้อชาติเดียวกัน เชื่อว่าหากเราไม่ปิดกั้น คนเก่งเหล่านี้จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจ สร้างงาน และสร้างรายได้ให้ประเทศ ดังนั้น ประเทศไทยไม่ควรเป็นเพียงศูนย์กลางด้านการค้าและการท่องเที่ยว แต่ควรเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตด้วย หากเรารู้ว่าปัจจุบันเป็นยุคของเทคโนโลยี และประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในอาเซียน ผู้ที่มาอยู่ในเมืองไทยต่างติดใจและไม่อยากกลับประเทศ
นายธนินท์ กล่าวว่า ไทยต้องกล้าคิดและกล้าทำ ถ้าเราทำงานร่วมกับจีนในลักษณะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ซื้อขายทั่วไป ไทยจะสามารถต่อยอดความร่วมมือไปได้อีกยาวนาน และควรเชิญบริษัทเทคโนโลยีของจีนมาร่วมลงทุนในไทย สร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้เกิดความร่วมมือแบบ win-win ซึ่งเชื่อมั่นว่า ถ้าทำได้ ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่พัฒนาได้เร็วที่สุดในอาเซียน
“สิ่งที่เหลือจากนี้คือ ประเทศไทยต้องศึกษาว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น และอเมริกาที่เริ่มมาลงทุนด้าน AI และทรัพย์สินทางปัญญาในไทยแล้ว หากไทยและจีนจับมือกันอย่างจริงจัง เชื่อว่าความร่วมมือจะต่อยอดไปได้อีกไม่รู้จบ ทั้งสองประเทศจะเติบโตและมั่งคั่งไปด้วยกัน หวังว่าไทยกับจีนความสัมพันธ์ 50 ปี จะต่อยอดเป็นล้านปี ถ้าผู้นำต่อๆ ไปของไทยเห็นว่าจะทำอะไร จะช่วยให้ไทยกับจีนจับมือรวยไปด้วยกัน”นายธนินท์ กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี