ต้องบันทึกไว้บนหน้าหนึ่งประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งนับตั้งแต่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีมาทั้งหมด 32 คน เริ่มตั้งแต่“พระยามโนปกรณ์นิติธาดา” (ก้อนหุตะสิงห์) นายกรัฐมนตรีคนแรกในปี 2475 มาจนถึงนายอนุทินชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน มีนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่23 เท่านั้น ที่ติดคุกเพราะคดีทุจริต“โกงชาติโกงแผ่นดิน”
เมื่อวันที่ 9 กันยายนวานนี้ เป็นเลขสวย“วันที่ 9 เดือน9” นับเป็นโชคดีของประเทศและเป็นบุญของประชาชนคนไทย ที่“คนขี้โกง”ที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งทุจริตประพฤติมิชอบระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2544-2549 ต้องเดินคอตกเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้สั่งบังคับโทษให้“ทักษิณ”กลับเข้าไปติดคุกอีกครั้งเป็นเวลา 1 ปี
โดยศาลฯพิจารณาเห็นว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลย คือ“ทักษิณ ชินวัตร”ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 แต่การนำตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำด้วย
จากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุว่า การส่งตัว“ทักษิณ ชินวัตร”จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในคืนวันที่ 22 สิงหาคมต่อเช้าวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น “ทักษิณชินวัตร”รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน ถึงขั้นต้องส่งตัวออกไปรักษานอกเรือนจำ เนื่องจากจำเลยคือ“ทักษิณ” มีเพียงโรคประจำตัว ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ
นอกจากนั้น ศาลฯยังชี้ว่า จำเลยคือ“ทักษิณ ชินวัตร” ยังเข้าไปมีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ และโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการ และเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยในโรงพยาบาลตำรวจต้องขยายระยะเวลาออกไป
ศาลฯพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การขยายระยะเวลาการรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจนั้น จำเลยได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลย เพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ มาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา
สำคัญที่สุด จากคำพิพากษาตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในครั้งนี้ ยังระบุด้วยว่า การส่งตัว“ทักษิณ ชินวัตร”ในฐานะจำเลย ออกไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจแบบฉุกเฉิน เนื่องจากจำเลยมีอาการแน่นหน้าอกนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุม พบว่า เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ของโรงพยาบาล ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ อันขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจ
ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจำเลยในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว
ศาลฯยังระบุด้วยว่า โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิต ที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำเป็นต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ และเชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอก เพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าว เป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ
สรุปก็คือ การ“โกหกอย่างเกรียงไกร”ของ“ทักษิณ ชินวัตร” ที่ไม่เหมือนภาพยนตร์ของฮอลลีวูดแนวตลกเสียดสีการเมืองเรื่อง“Wag the Dog” ที่ออกฉายในปี 2540 แสดงนำโดย“ดัสติน ฮอฟฟ์แมน” (Dustin Hoffman)และ“โรเบิร์ต เดอนีโร” ถือว่าไม่เนียน จึงทำให้แพทยสภาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจับได้ว่า อาการแน่นหน้าอกที่ใช้เป็นไปเบิกทางออกจากคุกในวันแรก และอาการป่วยวิกกฤตต่างๆที่กล่าวอ้างนั้น เป็นการ“กุ”ขึ้นมาหรือมดเท็จอย่างเป็นขบวนการ
สำหรับ“ทักษิณ ชินวัตร”การที่ต้องกลับไปติดคุกใหม่อีก 1 ปีนั้น ถือว่าสาสมกับสิ่งที่นักโทษเด็ดขาดชายผู้นี้ซึ่งมีฉายา“โกงโคตร-โคตรโกง”ได้ทำไว้ และยังเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทย ที่แม้แต่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าประพฤติชั่วทุจริตคิดคดต่อบ้านเมือง ก็ต้องติดคุกเหมือนกับโจรและคนร้ายที่ก่ออาชญากรรมทั่วๆ ไป
นับจากนี้ไป ก็เป็นคิวของบรรดาข้าราชการกรมราชทัณฑ์ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งตัว“ทักษิณ ชินวัตร”ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ..รวมทั้งนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และแพทย์ที่มีส่วนช่วยให้“ทักษิณ”ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ต้องรับโทษ ซึ่งจะต้องรับผลกรรมตามโทษทัณฑ์ ทั้งความผิดทางวินัยและทางอาญา จากการเอื้อประโยชน์และร่วมกันกระทำผิดกับ“ทักษิณ”อย่างเป็นกระบวนการ และในปัจจุบัน คดีนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช. โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งหมดเป็นองค์คณะ
ไล่เรียงดูแล้ว ข้าราชการประจำที่เข้าข่ายกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 ฐาน“เป็นเจ้าพนักงานกระทำหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยทุจริต” จากการร่วม“โกหกอย่างเกรียงไกร”กับนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น“ชายสองคุก” ซึ่งในเบื้องต้นนี้มีอยู่ทั้งหมด 12 คน ทั้งที่เกษียณราชการไปแล้ว และยังอยู่ในราชการ อันประกอบด้วย
1.นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์, 2.นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์,3.นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์, 4.นายนัสทีทองประหลาด เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร(เกษียณราชการ)
5.พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วย ผบ.ตร., 6.พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ, 7.พ.ต.อ.ชนะ จงโชคดี นายแพทย์(สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของไข้, 8.พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ผู้ออกใบความเห็นแพทย์, 9.นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์, 10.พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ผู้ออกใบอนุญาตส่งตัว,11.นายสัญญา วงค์หินกอง พัศดีเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และ12.นายธัญพิสิษฐ์ขบวน พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
โทษของผู้กระทำผิดตามมาตรา 157 คือ จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ต้องลุ้นกันต่อว่า ความผิดจะสาวไปถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็น“ข้าเก่าเต่าเลี้ยง”ของนายใหญ่ที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”หรือไม่ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี