พรรคเพื่อไทยไม่ใช่โจรก็คลับคล้ายโจร และไม่ใช่โจรกระจอกทั่วไป แต่เป็น“มหาโจรทางการเมือง” จากการทูลเกล้าฯถวายพระราชกฤษีกาประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อชิงตัดหน้าสกัดไม่ให้สส.เสียงส่วนใหญ่ในสภาฯลงมติเห็นชอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี แทน“แพทองธารชินวัตร”ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากตำแหน่ง
ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่เป็นเพราะ“เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง” แต่เป็นเพราะพรรคประชาชนตัดสินใจจะเทคะแนนเสียง 142 เสียง โหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูลเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่เป็นไปตามความต้องการของพรรคเพื่อไทย ที่ไปกราบกรานขอให้พรรคประชาชนโหวตให้นายชัยเกษมนิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถูกพรรคประชาชนปฏิเสธจึงใช้วิธี ตามที่ภาษาชาวบ้านพูด คือ“ถ้ากูไม่ได้-มึงก็อย่าหวังว่าจะได้”
การกระทำของพรรคเพื่อไทยซึ่งวิญญูชนคนไทยเห็นว่า เป็นพรรคการเมืองที่ตระบัดสัตย์มาโดยตลอด จะเห็นได้ว่า 2 ปีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีต้องมีอันเป็นไปทั้ง 2 คน คือนายเศรษฐาทวีสิน กับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพราะละเมิดรัฐธรรมนูญนั้น ก็เพราะเริ่มจากการที่พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์พรรคประชาชนเมื่อครั้งเป็นพรรคก้าวไกล ด้วยการฉีก“MOU”ในการจัดตั้งรัฐบาล“เศรษฐา ทวีสิน”ในปี 2566
สำหรับการทูลเกล้าฯถวายพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯในครั้งนี้ก็เช่นกัน พรรคเพื่อไทยไม่ได้ตระบัดสัตย์ก็เหมือนตระบัดสัตย์ จากการพูดกลับไปกลับมา จะเห็นได้ว่าเมื่อเย็นวันที่ 2 กันยายนที่ ผ่านมา “ภูมิธรรมเวชยชัย”ยังยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า “ยังไม่ได้คิดเรื่องการยุบสภาฯอยู่ในหัว” ขณะที่นายสรวงศ์เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ในช่วงหัวค่ำวันเดียวกันว่า “ยังไม่มีการยื่นทูลเกล้าฯใดๆทั้งสิ้น” หรือแม้แต่กระทั่งในเพจพรรคเพื่อไทยก็ยังยืนยันต่อสาธารณะว่า พรรคเพื่อไทยยังไม่ได้มีการเตรียมการยุบสภาฯ
แต่ปรากฏว่าในวันที่ 3 กันยายนเมื่อวานนี้ หลังจากพรรคประชาชนแถลงข่าวในช่วงเช้าที่รัฐสภาว่า พรรคประชาชนมีมติจะโหวตเห็นชอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกูลเป็นนายกรัฐมนตรี ทางด้านนายภูมิธรรมก็ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลในเวลาต่อมาว่า ได้ยื่นทูลเกล้าฯพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ทั้งที่เมื่อวานเพิ่งจะบอกกับผู้สื่อข่าวว่า“ยังไม่ได้คิดเรื่องการยุบสภาฯอยู่ในหัว”
“ภูมิธรรม เวชยชัย”รักษาการนายกรัฐมนตรี อ้างเหตุผลในการทูลเกล้าฯยุบสภาฯว่า “ขณะนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ระบบประชาธิปไตยมันบิดเบี้ยว ไม่เป็นไปตามครรลองที่ควรจะทำ การตัดสินใจของพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน ที่ตัดสินใจและตกลงกันว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยได้ยินประกาศว่า ทางพรรคประชาชนโหวตให้ แต่ไม่ร่วมเป็นรัฐบาล ซึ่งอันนี้เท่ากับอย่างไรมันก็แบ่งเป็น 3 กลุ่มอยู่ดี แบ่งเป็น 3กลุ่มเหมือนเดิม พรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทยทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนพรรคประชาชนมี 2 หมวกในตัวเอง เป็นทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีสิ่งนี้มาก่อน บรรยากาศทางการเมืองที่เป็นอยู่มีการดึงซื้อ สส. และมีการดึงสส.ต่างๆ ซึ่งมันสับสนอลหม่านในสถานการณ์ที่เราดูอยู่ขณะนี้ กับเศรษฐกิจต่างๆที่มีปัญหา เราเห็นว่าสิ่งที่สำคัญวันนี้ ถ้าไม่สามารถดึงความเชื่อมั่นกลับเข้ามาสู่ประเทศได้ มันยิ่งทำให้ปัญหาเศรษฐกิจยิ่งถูกกระทบและรุมเร้า”
“ภูมิธรรม เวชยชัย”ยังกล่าวอีกว่า“ปัญหาทั้งหมดแบบนี้ อย่างที่ได้พูดคุยกัน ฝ่ายกฎหมายก็คิดว่ามันควรจะคืนอำนาจให้ประชาชนไปตัดสินใจ แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของพระราชอำนาจ เพราะฉะนั้น ไม่มีใครที่จะมีสิทธิ์ไปตัดสินใจได้ เพราะอยู่ที่พระบรมราชวินิจฉัยในสถานการณ์ต่างๆ ผมเองในฐานะปฏิบัติหน้าที่นายกฯได้พิจารณาและได้รวบรวมความคิดเห็นต่างๆนี้อย่างชัดเจนแล้ว ก็คิดว่าควรจะต้องมีการกราบบังคมทูลถวายสถานการณ์ต่างๆ ให้พระองค์ทราบ และคิดว่ามันจะได้แก้ไขปัญหานี้ ผมจึงตัดสินใจยื่นทูลเกล้าฯไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ก็ต้องรอ เป็นกระบวนการตามประชาธิปไตย ตามกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ ก็ต้องรอ ถ้าเป็นอย่างนี้พรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยก็ต้องไปพิจารณา”
สรุปก็คือ “ถ้ากูไม่ได้-มึงก็อย่าหวังว่าจะได้” และวิญญูชนคนไทยต่างก็เห็นว่า การกระทำของพรรคเพื่อไทย เท่ากับเป็นการ“โยนเผือกร้อน”ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
เพราะประการแรก การทูลเกล้าฯเพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชกฤษฎีกาประกาศยุบสภาฯในครั้งนี้ ยังมีข้อโต้แย้งทางกฎหมาย ว่านายกรัฐมนตรีรักษาการสามารกระทำได้หรือไม่ จึงเท่ากับเป็นการผลักภาระไปให้พระมหากษัตริย์ทรงมีความหนักใจ หรือ“ลำบากพระราชหฤทัย”ต่อพระบรมราชวินิจฉัยในการลงพระปรมาภิไธย
ประการที่สำคัญ การทูลเกล้าฯยุบสภาฯ โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ ยังอาจจะเข้าข่ายว่า“กราบบังคมทูลความเท็จ” เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ไม่ได้วิกฤตถึงขั้นที่ฝ่ายนิติบัญญัติขัดแย้งกับฝ่ายบริหารอย่างรุนแรง และจะต้องมีการประกาศยุบสภาฯเพื่อกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปกันใหม่ แต่เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยไม่สามารถหว่านล้อม หรือบีบบังคับให้พรรคประชาชนยกมือสนับสนุนโหวตให้นายชัยเกษมนิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ และก็หมายถึงพรรคเพื่อไทยไม่สามารถจะเป็นรัฐบาลต่อไปได้
อย่างไรก็ดี ในที่สุดเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 3 กันยายนวานนี้ สำนักองคมนตรี ในฐานะหน่วยงานกลั่นกรองหนังสือ และถวายความเห็นประกอบการกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยและทรงลงพระปรมาภิไธย ก็ได้ส่งคืนร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯกลับมาให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
โดยหนังสือนำส่งกลับคืนของสำนักองคมนตรี ระบุว่า“การกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ไม่เป็นไปตามระเบียบการนำเสนอเพื่อขอพระมหากรุณา เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีปัญหาข้อขัดแย้งว่ากระทำได้หรือไม่ ประกอบกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีก ได้ทำความเห็นประกอบว่า รัฐบาลรักษาการไม่สามารถกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ ได้ จึงไม่สามารถกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยได้"
บรรทัดนี้ก็คงต้องพูดอย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่โจรก็คลับคล้ายโจร และไม่ใช่โจรกระจอกทั่วไป แต่เป็น“มหาโจรทางการเมือง” ซึ่งภาพโดยรวม ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ปัญหาการเมืองทั้งหมดที่เดินมาสู่จุดนี้ ล้วนเป็นเพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”คนเดียวโดยแท้
คือ เมื่อมีโอกาสได้กลับเข้ามาในประเทศไทยในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หลังจากเมื่อปี2551 ระหว่างเป็นจำเลยคดีทุจริตที่ดินย่านรัชดาฯ ได้หลอกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หนีไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างแดนนานกว่า 15 ปี ปรากฏว่าเมื่อกลับมา “ทักษิณชินวัตร”ก็ยังไม่ทิ้ง“สันดานเดิม” แทนที่จะยอมติดคุกแล้วออกมาอยู่กับบ้านเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานตามที่ประกาศไว้ ก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจและชี้นำบงการรัฐบาล รวมทั้งครอบงำ 2นายกรัฐมนตรีที่เป็น“หุ่นเชิด”ของตนเอง กระทั่งต้องพ้นจากตำแหน่งโดยมีมลทินติดตัวไปตลอดชีวิตทั้งสองคน
สุดท้ายแล้วบาปกรรมนั้นมีจริง ใครทำดีก็ได้ดี ซึ่งสำหรับตระกูลชินวัตร ไม่เพียงแต่“แพทองธาร ชินวัตร”ต้องมีตราบาปติดตัว ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากตำแหน่ง โดยเข้าข่ายฐาน“ทรยศขายชาติ”เท่านั้น “ทักษิณชินวัตร”ผู้เป็นบิดาซึ่งจับลูกสาวมา“สังเวยอำนาจ” ก็ยังจะต้องกลับเข้าไปติดคุกในวันที่ 9กันยายนนี้อีกด้วย เพราะ“โกงการติดคุก”กรณี“ป่วยทิพย์-ชั้น 14”
และนั่นก็หมายถึงกาลอันล่มสลายของพรรคเพื่อไทย และ“ระบอบทักษิณ” ที่เริ่มมาจากพรรคไทยรักไทยในปี 2541 จากการก่อตั้งของ“ทักษิณชินวัตร” และได้อวตารมาเป็นพรรคพลังประชาชนหลังจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรค ก่อนจะกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทยในปี 2550 ซึ่งทั้งสามพรรคนี้ต้องถือว่าเป็นพรรคการเมืองที่เป็นสมบัติของ“ตระกูลชินวัตร” จะเรียกว่าด้วยระยะเวลา 27 ปี ก่อตั้งโดยพ่อแต่มาถูกทำลายล้างด้วยมือของลูกสาว อันเป็นผลมาจาก“คลิปอัปยศ”ก็ไม่ผิดนัก
อีกทั้ง“ภูมิธรรม เวชยชัย” ในฐานะผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยร่วมกับ“ทักษิณ ชินวัตร”มาตั้งแต่ต้น และได้กลายเป็น“ข้าเก่าเต่าเลี้ยง”ของตระกูลชินวัตร ก็อาจจะต้องติดคุกตอนแก่ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา112 จากการทูลเกล้าฯพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯในครั้งนี้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 กันยายนวานนี้ นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ“ภูมิธรรมเวชยชัย”ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิต ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังใช้อำนาจเกินขอบเขต ยื่นทูลเกล้าฯขอพระราชกฤษฎีกายุบสภาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งคดีนี้มีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนคดีความผิดตามมาตรา 112 นั้น นายสุรทิน พิจารณ์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปไตยใหม่ พร้อมด้วยนายไทกรพลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้เข้าแจ้งความเอาผิดกับ“ภูมิธรรมเวชยชัย” ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(บก.ปปป.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) ฐานยื่นทูลเกล้าฯร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯโดยไม่มีอำนาจหน้าที่ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควร เนื่องจากนายภูมิธรรมไม่มีอำนาจหน้าที่ และยังส่อเจตนาดึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกด้วย
นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 3 กันยายนเมื่อวานนี้เช่นกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ได้ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวนสอบสวน ว่านายภูมิธรรม เวชยชัย เข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ และให้ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา หรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อพิจารณาเอาผิดการกระทำดังกล่าว ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายหรือไม่ต่อไป
อนึ่ง ในช่วงค่ำวันที่ 3 กันยายนเมื่อวานนี้เวลา 21.00 น.เว็บไซต์สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่วาระการประชุมสภาฯโดยประกาศว่า ในวันที่ 5กันยายนพรุ่งนี้ มีการบรรจุวาระเรื่องด่วนที่8 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก็ได้แต่ภาวนาว่า หลังจากสภาฯโหวตเห็นชอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว นับจากนี้ไป ประเทศไทยคงจะได้พ้นเวรพ้นกรรมจาก“ตระกูลชินวัตร” และ“ระบอบทักษิณ”กันเสียที !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี