พรรคเพื่อไทยสิ้นท่า...จากภาพที่เห็นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา..ซึ่งต้องวิ่งเข้าไปกราบกรานพรรคประชาชน..เพื่อขอให้โหวตนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย..ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทน“แพทองธาร ชินวัตร”
ผิดรูปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า..จากเมื่อปี 2566 หลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566..ที่พรรคก้าวไกลซึ่งอวตารมาเป็นพรรคประชาชนในปัจจุบัน..ได้รับเลือกตั้ง สส.เข้ามาเป็นอันดับ 1 และประกาศตัวเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล..โดยที่“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล..จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี..แต่ก็ต้องฝันสลายกลายเป็น“นายกฯว่าว”..เพราะถูกพรรคเพื่อไทย“ทิ้งขันหมาก”
หากย้อนกลับไปดู..หลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น..เมื่อตัวเลขจำนวน สส.ออกมาอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 15 พฤษภาคม 2566..ซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นถัดจากวันเลือกตั้ง..พรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงสูงสุด 151 ที่นั่ง..และพรรคเพื่อไทยได้ 141 ที่นั่งเป็นลำดับสอง..“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”ประะกาศชัยชนะทันที..และได้แถลงข่าวเชิญพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ปีก“3 ป.” (ประยุทธ์-ประวิตร-อนุพงษ์)เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล
จากนั้นในวันที่ 22 พฤษภาคม 2566..พรรคก้าวไกลได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)..เพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลผสม 8 พรรค..ด้วยคะแนนเสียงที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วทั้งหมด 313 เสียง..โดยมี“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”เป็นนายกรัฐมนตรี..อันประกอบด้วยพรรคก้าวไกล 152 เสียง, พรรคเพื่อไทย 141 เสียง, พรรคประชาชาติ 9 เสียง, พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง, พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง, พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง, พรรคเป็นธรรม 1 เสียง..และพรรคพลังสังคมใหม่ 1 เสียง
ปรากฏว่าในการโหวตครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566..ซึ่งในขณะนั้นรัฐธรรมนูญกำหนดให้ สว.ต้องร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย..“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”ได้รับเสียงโหวต 324 เสียง..จากจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 750 เสียง..โดยขาดไป 52 เสียงจึงจะเกินกึ่งหนึ่งคือ 376 เสียง..เป็นอันว่า“พิธา”ไม่ได้รับความเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรี
วันที่ 19 กรกฎาคม 2566..ในการโหวตครั้งที่สอง..แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อ“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”เป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม..แต่ก็ถูกโต้แย้งในที่ประชุมว่า..ขัดต่อข้อบังคับการประชุมของรัฐสภาที่ห้ามไม่ให้เสนอญัตติซ้ำ..แลเมื่อมีการลงมติ..ญัตติการเสนอชื่อของ“พิธา”ก็ต้องตกไป..เพราะมีเสียงเห็นชอบให้เสนอชื่อ“พิธา”ได้แค่ 312 เสียง..ขณะที่เสียงไม่เห็นชอบมีถึง 394 เสียง
อย่างไรก็ตาม..ในวันที่ 3 สิงหาคม 2566..นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว..หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น..ได้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่า..จะยุติการทำงานร่วมกับพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล..เนื่องจากมีข้อขัดแย้งในนโยบายหลักหลายประเด็น..โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการแก้ไขมาตรา 112..และประกาศจะเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน..แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี..พร้อมกันนี้พรรคเพื่อไทยก็ยังได้มีแถลงการณ์ย้ำออกมาว่า
“พรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐา ทวีสิน..ขอยืนยันชัดเจนว่า..เราจะไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112..และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่..จะไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล..โดยพรรคเพื่อไทยจะใช้ความพยายามรวบรวมเสียงให้เพียงพอ..ต่อการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเหมาะสม..และพรรคก้าวไกลจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน”
นอกจากนั้น..ในแถลงการณ์ดังกล่าวของพรรคเพื่อไทยยังระบุด้วยว่า..“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล..ไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาได้..โดยมีเพียง 324 เสียงจากที่ต้องการถึง 376 เสียง.
ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้สนับสนุนพรรคก้าวไกลอย่างเต็มความสามารถ..ทั้งการอภิปราย..และยกมือสนับสนุน 141 เสียง..แต่เนื่องจากปรากฏเงื่อนไขของพรรคการเมืองอื่นๆ และ สว. ไม่ยอมรับนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล..พรรคก้าวไกลรับทราบท่าทีเหล่านี้..แต่ยืนยันไม่ปรับเปลี่ยนนโยบาย..จึงเป็นการแน่ชัดว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล..จะไม่สามารถผ่านการลงมติเห็นชอบจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งได้”
วันที่ 15 สิงหาคม 2566..พรรคเพื่อไทยประกาศจัดตั้งรัฐบาลแบบหมุนกลับ 360 องศา..ชนิดที่ถึงกับมีวาทกรรมออกมาว่า“เสียสัตย์เพื่อชาติ”..โดยจะร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคการเมือง“3 ป.”..คือภูมิใจไทย, รวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ..ทั้งที่“แพทองธาร ชินวัตร”หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย..และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยอีกคนหนึ่ง..ได้ประกาศไว้ตอนหาเสียงเรียกร้องให้ร่วมกัน“ปิดสวิตช์ ส.ว.-ปิดสวิตช์ 3 ป.” พร้อมทั้งสัญญาว่า..ถ้าได้เป็นรัฐบาล..จะทำให้คนไทย“มีกิน..มีใช้..มีเกียรติ..มีศักดิ์ศรี”
จากนั้นในวันที่ 22 สิงหาคม 2566..ที่ประชุมรัฐสภาก็ได้โหวตให้“เศรษฐา ทวีสิน”เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย..ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 482 : 165 เสียง..โดยงดออกเสียง 81 เสียง ..จากจำนวนสมาชิกที่ลงคะแนนทั้งหมด 728 เสียง..ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้..อีกทั้งในส่วนที่เป็นเสียงของ สว.นั้น..สว.สาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา..ที่พรรคเพื่อไทยประกาศปิดสวิตช์..ก็ยังได้พากันเทคะแนนโหวตให้นายเศรษฐาอีกด้วย
กลับมาสู่ความเป็นจริงในวันนี้..คนที่เฝ้าติดตามการเมืองก็ยังเชื่อว่า..พรรคประชาชนซึ่งอวตารมาจากพรรคก้าวไกลนั้น..เมื่อเจ็บแล้วก็คงต้องจำ..จากการที่ถูกพรรคเพื่อไทย“หักหลัง”เมื่อสองปีก่อน
เพราะแม้แต่“ด้อมส้ม”ที่เป็นมวลชนของพรรคประชาชน..ยังชูป้ายคัดค้านทำนองเสียดเย้ย“ภูมิธรรม เวชยชัย”และแกนนำพรรคเพื่อไทย..รวมทั้งแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล..คือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง..หัวหน้าพรรคประชาชาติ..และนายเดชอิศม์ ขาวทอง..เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์..ที่ไปขอเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชน..ณ ที่ทำการพรรคประชาชนเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา..เช่น..“เพื่อไทยจะเลิกตระบัดสัตย์กี่โมง”, “ครั้งนี้คงไม่ได้ยินคำว่าเสียสัตย์เพื่อชาติอีกนะ”..และ“เพื่อไทยศูนย์รวมโจร”..เป็นต้น
และบรรทัดนี้..ต้องเตือนความจำพรรคประชาชนไว้เป็นพิเศษอีก 1 เหตุการณ์..ว่า“ทักษิณ ชินวัตร”เจ้าของเพื่อไทยตัวจริงได้เคยทำอะไรไว้..เพราะเพิ่งจะผ่านมาไม่นานนี้เอง..ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพรส..จังหวัดเชียงใหม่..เมื่อวันที่ 27 เมษายน 25568..ซึ่ง“ทักษิณ”ได้ขึ้นเวทีปราศรัยอู้กำเมืองช่วยนายอัศนี บูรณุปกรณ์..ผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่..ของพรรคเพื่อไทย..โดยได้ด้อยค่าพรรคประชาชน..และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ..หัวหน้าพรรคประชาชน..ที่เป็นส่งผู้สมัครลงแข่งกับพรรคเพื่อไทย..ในการชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีฯครั้งนี้..แบบดูถูกเหยียดหยามตามนิสัยถาวรขอ“ทักษิณ”ว่า..“พรรคประชาชนมัวแต่จะเอา 112..ทำให้ไม่มีเพื่อนจนติดหล่มตั้งรัฐบาลไม่ได้” พร้อมทั้งเย้ยหยันว่า
“คู่แข่งของนายกฯหน่อย (อัศนี บูรณุปกรณ์)..คือพรรคใด..เขาบอกว่าพรรคประชาชนเป็นคู่แข่ง..แต่ผมคิดว่ามันสู้ไม่ได้..เมื่อสักครู่ผมนั่งรถมา..ก็เห็นป้ายของพรรคประชาชนที่หัวหน้าคือเท้ง (ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ)..หรือหนุ่มซินตึ๊ง..ซึ่งเขาบอกว่าพรรคประชาชนจะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยได้..ก็ต่อเมื่อพรรคเพื่อไทยออกมาขอโทษประชาชน..ที่เคยทำผิดกับประชาชน..เขาเอาอะไรมาพูด..ตอนนี้พรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลติดหล่มอยู่ที่ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ..ตั้งรัฐบาลไม่ได้..แต่ที่ตั้งไม่ได้..โทษใครไม่ได้ต้องโทษตัวเอง..เพราะจะเอา 112 อยู่นั่นแหละ ก็เลยหาเพื่อนไม่ได้”
และอีกหนึ่งถ้อยความจากการปราศรัยของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่จังหวัดเชียงใหม่..“ระบบการเมืองไทยเป็นระบบรัฐสภา..ใครรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง คนนั้นได้เป็นรัฐบาล..ไม่จำเป็นต้องใครได้ที่หนึ่งเป็นรัฐบาล..ตอนปี 2562 เพื่อไทยมาที่หนึ่ง..พรรคพลังประชารัฐมาที่สอง..แล้วมันก็ตั้งเลย..เพื่อไทยก็มาเป็นฝ่ายค้านรวมกับพรรคอนาคตใหม่ตอนนั้น..ไม่เห็นมีใครว่าอะไรสักคำ..แต่พอเขาชนะเป็นพรรคลำดับหนึ่ง..เพื่อไทยให้โอกาส..แต่รวมเสียงยังไงก็รวมไม่ได้ สว.ไม่เอา..ใครก็ไม่เอา..เป็นคนไม่มีเพื่อน..แล้วมาโทษคนอื่น..แบบนี้แหละ..เขายังเป็นละอ่อน..ก็คิดแบบละอ่อน”
ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่..ในวันนี้ไม่ว่าใครได้เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นผู้นำรัฐบาลชุดใหม่..โดยอาศัยเสียงโหวตสนับสนุนจากพรรคประชาชน..ก็ล้วนแล้วแต่จะต้องตกอยู่ใต้อาณัติของพรรคประชาชน..ซึ่งเปรียบเหมือนเป็น“ก๊กใหญ่”ที่สุดในสภาฯเวลานี้
เพราะเสียงข้างมากที่แท้จริงในสภาฯเป็นของพรรคประชาชน..ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 143 เสียง..ขณะที่อีกสองก๊ก..คือ..พรรคเพื่อไทยมี 140 เสียง และพรรคภูมิใจไทยมี 69 เสียง
ขณะเดียวกัน..การดีลระหว่าง“ทักษิณ ชินวัตร”กับ“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา..เพื่อขอให้พรรคประชาชนโหวต“ชัยเกษม นิติสิริ”เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น..ก็ยังอาจจะเป็นสารตั้งต้นให้พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน..ถูกยุบพรรรคอีกก็เป็นได้..เพราะเมื่อวันที่ 1 กันยายนวานนี้..นายศรีสุวรรณ จรรยา..ได้ไปร้อง กกต.ให้เอาผิดบุคคลทั้งสองนี้แล้ว..ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560..มาตรา 28 และมาตรา 29..ฐานเป็นบุคคลนอกที่กระทำการ..อันเป็นการ“ควบคุม-ครอบงำ-ชี้นำ”พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน
จับตาดูกันต่อไป..ว่าการเมืองเรื่องอำนาจสามสีสามรส“แดง-ส้ม-น้ำเงิน”จะดำเนินไปอย่างไร..ในท่ามกลางความรู้สึก“น่าสมเพชเวทนา”ของประชาชนคนไทย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี