3 คดีที่เกี่ยวพันกับชะตากรรมของ“สองพ่อลูกตระกูลชินวัตร” รวมทั้งรัฐบาลชุดนี้ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนั้น ปิดบัญชีไปแล้ว 1 คดี คือคดีความผิดมาตรา 112 ที่“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นจำเลย ซึ่งศาลอาญาชั้นต้นยกฟ้อง และเชื่อกันว่าทางอัยการในฐานะโจทก์คงไม่ติดใจที่จะยื่นอุทธรณ์ นั่นก็เพราะ แม้แต่ครั้งนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังเห็นว่า อัยการทำสำนวนอ่อนเกินไป จึงทำให้“ทักษิณ”รอดคุก
ยังเหลืออีก 2 คดี คือคดี“คลิปอัปยศ”ที่“แพทองธาร ชินวัตร”เจรจากับ“ฮุน เซน”ทรราชแห่งเขมร ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยตัดสิน ว่าจะถอดถอนหรือไม่ถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคมนี้
ถ้าศาลรัฐธรรรมนูญสั่งถอดถอน ด้วยพิจารณาเห็นว่า“แพทองธาร ชินวัตร”ไม่มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามที่ 36 สว.ร้อง นั่นก็หมายความว่า รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งด้วย ต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี และเปลี่ยนรัฐบาลใหม่
อีกคดีหนึ่ง ต้นเดือนหน้าในวันที่ 9 กันยายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาคดีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร “ป่วยทิพย์-ชั้น 14” ที่ศาลจะชี้ว่า ข้าราชการกรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่เรือนจำ ตลอดจนแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ และแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีการบังคับ“น.ช.ทักษิณ”ตามหมายจำคุกหรือไม่อย่างไร คือพูดง่ายๆ ก็คือ “ทักษิณ”ได้ติดคุกจริงตามที่ศาลพิพากษาหรือไม่
สำหรับคดี“คลิปอัปยศ”ของ“แพทองธาร ชินวัตร” ที่จะถูกตัดสินก่อนคดี“ป่วยทิพย์-ชั้น 14”นั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้คู่กรณียื่นแถลงการณ์ปิดคดี จากเดิมที่สั่งให้ยื่นในวันที่ 27 สิงหาคม เลื่อนขึ้นมาเป็นวันที่ 25 สิงหาคมคือวันนี้ ด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ถ้าให้ยื่นตามกำหนดเดิม ตุลาการแต่ละท่านจะมีเวลาทำความเห็นส่วนตนได้เพียงแค่ 1 วันก่อนวันอ่านคำวินิจฉัย ทั้งนี้ เลื่อนขึ้นมาอีกสองวัน ก็เพื่อให้การวินิจฉัยคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นไปอย่างรอบคอบและครบถ้วน และหากคู่กรณี คือ ทั้ง“แพทองธาร” และ 36 สว.ไม่ยื่นภายในกำหนดเวลา ให้ถือว่าไม่ติดใจยื่น
คดี“คลิปอัปยศ”นี้ ประชาชนคนไทยได้ให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง และทุกสายตาจับจ้องไปที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนว่า ในขณะที่ตุลาศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาเรื่องความเป็นรัฐมนตรีของ“แพทองธาร ชินวัตร” ว่าจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่นั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็ถูกมองเหมือนกัน ว่าจะยึดมั่นในคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 201 (4) และ 202 (10) หรือไม่อย่างไร
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กำหนดคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไว้ในหมวด 11 ว่าด้วย“ศาลรัฐธรรมนูญ”ตามมาตรา 201 (4) ที่ยกมานั้น บัญญัติไว้ว่า ต้องมี“ความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์” และมาตรา 202 (10) ต้องไม่มี“พฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
แต่ก็อย่างว่า ดังนิทานคำกลอนเรื่อง“พระอภัยมณี”ของบรมมหากวี“สุนทรภู่” ที่ว่า“แม้แต่องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา” ดังนั้นเวลานี้ในสังคมไทย ทั้งในโลกที่เป็นจริงตามตลาดทุกย่านร้านถิ่น และในโลกเสมือนจริงในโซเชียล เสียงซุบซิบเรื่อง“ถุงขนม”ที่อาจจะมีอิทธิฤทธิ์ ทำให้“แพทองธาร ชินวัตร”รอดจากคดีนี้ จึงดังให้เซ็งแซ่
เพราะเรื่อง“ถุงขนม”นั้น เป็นตราบาปที่ติดตัว“พิชิต ชื่นบาน” จนได้ฉายาว่า“ทนายถุงขนม” ในฐานะหัวหน้าทนายความคดีทุจริตที่ดินย่านรัชดาฯ ในปี 2551 ซึ่งมี“ทักษิณ ชินวัตร” และ“คุณหญิงพจมาน ชินวัตร” เป็นจำเลย นำเงินสด 2 ล้านบาทใส่ถุง เพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่ศาลฯ กระทำการอันมิชอบระหว่างการพิจารณาคดี โดยศาลฯพิจาณาเห็นว่าการกระทำของนายพิชิตและลูกทีมทนายอีกสองคน เป็นการกระทำที่อุกอาจ ท้าทาย และเกิดขึ้นที่ศาลฎีกา อันเป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุดของประเทศ จึงสั่งจำคุกทั้งสามคนๆ ละ 6 เดือน
และคดีทุจริตที่ดินย่านรัชดาฯนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาตัดสินลับหลังเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 เนื่องจาก“ทักษิณ ชินวัตร”และ“คุณหญิงพจมาน ชินวัตร” หลบหนีคดีไปอยู่ที่อังกฤษ โดยสั่งลงโทษจำคุก“ทักษิณ” 2 ปี ไม่รอลงอาญา ส่วนคุณหญิงพจมานศาลยกฟ้อง และเมื่อคุณหญิงพจมานกลับมาเมืองไทย ก็ได้จดทะเบียนหย่ากับ“ทักษิณ”ในทางนิตินัย เพื่อที่ทรัพย์สินก้อนมโหฬารจะได้ไม่เกี่ยวพันกัน และเปลี่ยนกลับมาใช้“ดามาพงศ์”นามสกุลเดิมของตนจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
คดี“คลิปอัปยศ”ของ“แพทองธาร ชินวัตร” ณ วันนี้จึงทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน“เปลืองตัว” แม้แต่คำว่า“นั่งลงลูก” ที่มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางท่าน กล่าวกับ“แพทองธาร ชินวัตร” ในวันไต่สวนเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อบอกให้“แพทองธาร”นั่งลง ยังกลายเป็น“ไวรัล” ทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านนั้นถูกมอง ว่ามีความสัมพันธ์ส่วนตัว“อะไรเป็นพิเศษ”กับตระกูลชินวัตรหรือไม่ อันอาจทำให้มีผลต่อคำวินิจฉัยในทางที่จะเป็นคุณแก่“แพทองธาร”
หากในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคมนี้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาว่า “แพทองธาร ชินวัตร”ผู้ถูกร้องไม่ได้“ทรยศขายชาติ” โดยมิได้มีพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ฝั่งเดียวกันกับกัมพูชาเพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องจึงไม่สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) คือ“แพทองธาร”ได้ไปต่อ ซึ่งถ้าผลคำวินิจฉัยออกมาเช่นนี้ รับรองศาลรัฐธรรมนูญเดือดร้อนแน่ โดยเฉพาะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากที่ลงความเห็นให้“แพทองธาร”ไปต่อ
นับจากวันนี้ไปยังมีเวลาอีกห้าวันก่อนจะถึงวันที่ 29 สิงหาคม ความซื่อสัตย์สุจริตเท่านั้น ที่จะทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกท่าน อยู่รอดปลอดภัย ดังโคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ที่ว่า“สุจริตคือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง”
สุดท้ายแล้ว ถ้า“แพทองธาร ชินวัตร”ลูกสาวรอดในวันที่ 29 สิงหาคม และวันที่ 9 กันยายนเดือนหน้า“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้พ่อรอดอีกคน
เชื่อว่าประเทศไทย“ยุ่งแน่” ถ้าพูดตามวลีเด็ดของ“โค้วตงหมง” หรือ นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อครั้งอดีต ก็ต้องบอกว่า-“ยุ่งตายห่า” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี