ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองในประเทศไทย ที่สับสนวุ่นวาย ทั้งปัญหาภายในและนอกประเทศรุมเร้า ข่าววงการสงฆ์ที่พระตำแหน่งชั้นผู้ใหญ่หลายรูป มีความสัมพันธ์กับสีกา และโอนเงินให้สีกาเป็นจำนวนมากได้สร้างความหวั่นไหว และความวิตกกังวลให้แก่พุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก
ชาวพุทธโดยทั่วไป เมื่อถวายปัจจัยให้ สามเณร และพระภิกษุ มักไม่ได้บอกกล่าวว่า ถวายให้เป็นการส่วนตัว หรือถวายให้วัด หากถวายให้พระภิกษุ ที่ไม่มีตำแหน่ง มักจะเข้าใจว่า ถวายให้ท่านเป็นการส่วนตัว
แต่หากถวายให้พระภิกษุที่มีตำแหน่ง เช่น เจ้าอาวาส ในหลายโอกาส ผู้ถวายจะเข้าใจว่า เป็นการถวายให้วัดโดยปริยาย แม้ไม่ได้แสดงเจตนาให้ชัดเจน แต่ในมุมมองของพระภิกษุ เมื่อท่านรับถวายปัจจัย อาจเข้าใจว่าเป็นการถวายให้เป็นการส่วนตัว เพราะไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน
พระภิกษุที่มีความสัมพันธ์กับสีกาถึงขั้นเกินเลยเสพเมถุน ถือเป็น ปาราชิก ที่ขาดจากความเป็นพระภิกษุโดยทันทีไม่จำเป็นต้องทำพิธีลาสิกขาบทหรือสึกออกจากความเป็นพระ
ดังที่พระภิกษุหลายรูปได้ปฏิบัติ
เมื่อขาดจากความเป็นพระภิกษุแต่ยังห่มหรือครองจีวร และยังปฏิบัติตนอย่างพระภิกษุ ถือว่า กระทำความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 208 ที่กำหนดโทษไว้แก่ผู้ที่กระทำผิด ด้วยการแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงเป็น ภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท
หากยังรับถวายปัจจัยหรือสิ่งของ เสมือนเป็นพระภิกษุ ถือได้ว่า ทุจริตโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จหลอกลวงเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อและได้รับประโยชน์ ถือว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 341 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากเป็นการกระทำต่อบุคคลตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พระภิกษุที่มีตำแหน่ง ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อโอนเงินที่อยู่ในความดูแลของวัด หรือมูลนิธิ หรือองค์กรที่รับผิดชอบ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่เจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนสีกาที่รับโอนเงิน โดยมิใช่เป็นเงินส่วนตัวของพระภิกษุ ถือว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดดังกล่าวด้วย ต้องรับโทษเช่นกัน
ในกรณีที่สีกามีความสัมพันธ์กับพระภิกษุ แล้วข่มขู่ที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์สิน เงินทอง หรือประโยชน์ใดถือว่ามีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
ล่าสุด เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มีแนวความคิดที่จะเสนอร่างกฎหมายเป็น พระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
ร่างกฎหมายนี้มีประเด็นที่น่าสนใจคือมีบทบัญญัติที่สำคัญกำหนดโทษไว้ในกรณีผู้ใดสมัครใจเสพเมถุนกับพระภิกษุและสามเณร ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย มีโทษจำคุก 1-7 ปี และปรับ 20,000-140,000 บาท กรณีพระสงฆ์ที่ได้รับคำวินิจฉัยถึงที่สุดว่า ต้องอาบัติปาราชิก มีโทษจำคุก 1-7 ปี และปรับ 20,000-140,000 บาท
ร่างกฎหมายฉบับนี้ ต้องผ่านขั้นตอนอีกมากมาย เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา จนกว่าจะประกาศใช้เป็นกฎหมาย ยังต้องใช้เวลาอีกนาน
ปัญหาที่เกิดขึ้น แม้จะสร้างความสั่นสะเทือน แต่ชาวพุทธควรมีจิตใจที่มั่นคงแยกแยะให้ได้ และมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาโดยไม่เสื่อมถอย
ดร.รุจิระ บุนนาค
กรรมการผู้จัดการ
Marut Bunnag International Law Office
rujira_bunnag@yahoo.com
Twitter : @RujiraBunnag
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี