สาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตแซงหน้าไทย
** ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต อดีตผู้บริหารบริษัทเทคฯและภาคการเงินระดับโลก ผู้เขียนหนังสือ Twists & Turns โพสต์เฟซบุ๊ก ใน สันติธาร เสถียรไทย-Dr Santitarn Sathirathai เรื่อง เวียดนามกำลังทรานสฟอร์มตัวเองครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี เพื่อก้าวกระโดดไปอีก มีเนื้อหาว่า เรามักพูดถึงเวียดนามในฐานะ “คู่แข่งที่เก่งและวิ่งเร็ว” แต่เวียดนามไม่ได้มองตัวเองว่า “เก่งแล้ว” ตรงกันข้าม เขากำลังมองตัวเองเป็น “ผู้ท้าชิง” (Challenger mindset) ที่ยอมเสี่ยงเพื่อก้าวกระโดด และกำลังใช้ “วิกฤต” เป็น “โอกาส”
เมื่อเร็วๆนี้ MUFG ได้ออกบทวิเคราะห์เรื่อง Doi Moi 2.0 -The most ambitious structural reforms since 1986 ซึ่งถือว่าน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับไทยอย่างมาก นับจาก “โด่ยเหม๊ย” ปี 1986 ที่เปิดประเทศจากสังคมนิยมปิดสู่เศรษฐกิจตลาด เวียดนามเพิ่งประกาศ “Doi Moi 2.0” หรือการปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบสี่สิบปี รายงานสรุปการปฏิรูปของเวียดนามไว้ในคำที่คมและชัดเจนว่า Transform to Reform, Optimise to Mobilise ซึ่งหมายความว่า เริ่มจากกระดุมเม็ดแรกคือ การปรับมายด์เซ็ตของผู้นำ สร้าง ฉันทามติใหม่เรื่องการเพิ่มบทบาทเอกชนในประเทศในเศรษฐกิจ
และการ “ลดไขมัน” ที่ถ่วงความเร็ว เพื่อจัดระบบให้ขับเคลื่อนได้จริง ด้วยการสร้าง 4 เสาแห่งการปฏิรูป 1. เสารัฐและระบบราชการ (State & Governance) -เป้าหมาย: ทำให้รัฐ “lean-digital-fast” ลดขนาดและความซับซ้อน เพื่อเป็นรัฐที่เอื้อต่อการแข่งขันระดับโลก สิ่งที่จะทำ: ลดกฎระเบียบ 30%, เปลี่ยนจาก “อนุญาตก่อนทำ” “กำกับหลังทำ”, ควบรวมกระทรวง, ลดชั้นการปกครองเหลือ 2 -สิ่งที่ทำแล้ว: เริ่มควบรวมกระทรวงหลัก ลดคน, รวมจังหวัดจาก 63 เหลือ 34, เริ่มต้นใช้ one-stop e-government และ Digital ID 2. เสาเศรษฐกิจและเอกชน (Economy & Private Sector) -เป้าหมาย: สร้างเศรษฐกิจที่เอกชนท้องถิ่นแข็งแรง ไม่พึ่ง FDI อย่างเดียว และมี “20 แชมป์ชาติ” เชื่อมกับห่วงโซ่โลก-สิ่งที่จะทำ: สร้างสิทธิประโยชน์ดึง SMEs เข้าสู่ระบบ, ออกมาตรการลดภาษี/ค่าเช่าที่ดิน, สนับสนุนสตาร์ทอัพและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน -สิ่งที่ทำแล้ว: ยกเลิกภาษีธุรกิจขนาดเล็ก, ให้ SMEs ได้ tax holiday 3 ปี, ลดค่าเช่าที่ดิน 30%, เร่งเบิกจ่ายเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐาน (>10% GDP) โดยให้บริษัทเวียดนามเข้าประมูลนำ
3. เสาทุนมนุษย์และการศึกษา (Human Capital & Education) -เป้าหมาย: พัฒนาคนเป็น “ทุนแข่งใหม่” ทั้งครูที่มีศักดิ์ศรีสูงสุดและแรงงานที่มีทักษะสูงเพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจโลก -สิ่งที่จะทำ: เพิ่มค่าตอบแทนครู, ประกาศเรียนฟรีในระบบรัฐ, เปิดทางให้ผู้เชี่ยวชาญนอกภาครัฐเข้ามาทำงาน, ยกระดับระบบมหาวิทยาลัย-วิจัย -สิ่งที่ทำแล้ว: ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 30%, ผ่านกฎหมายครูให้เป็นสายอาชีพที่ค่าตอบแทนสูงสุด, ประกาศเรียนฟรีตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยม, เริ่มปรับเกณฑ์การรับแรงงานทักษะสูง 4. เสาวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี-การเปิดประเทศ (Science, Technology & Digital) -เป้าหมาย: ยกระดับเวียดนามให้เป็นเศรษฐกิจดิจิทัล-นวัตกรรม และเปิดกว้างต่อโลกเพื่อดึงทักษะและทุนคุณภาพ -สิ่งที่จะทำ: ตั้ง National Data Center, ขยายระบบ Digital ID ครอบคลุมทุกบริการ, สร้างกองทุนสนับสนุน deep-tech, ผ่อนคลายกฎแรงงานต่างชาติ -สิ่งที่ทำแล้ว: เริ่มใช้ Digital ID กับบริการรัฐ-ธุรกิจ, ตั้งพอร์ทัลบริการ one-stop, ประกาศ timeline ออก work permit สำหรับแรงงานต่างชาติภายใน 10 วัน, เปิดกองทุนสนับสนุนโครงการเทคโนโลยี
จากแผนนี้ของเวียดนามพบว่า ตัววัดชัดเจน จับต้องได้ ประเมินได้ เช่น ภายใน 2030: -มี 2 ล้านกิจการเอกชน คิดเป็น 55-58% ของ GDP (จาก 50% วันนี้) -มี 20 บริษัทใหญ่เข้าร่วมในห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก (GVCs) -ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.5-9.5% ต่อปี -ติด Top 3 ASEAN / Top 5 Asia ในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และความสามารถในการปรับตัว -ลดเวลา ต้นทุน และความยุ่งยากทางราชการลง 30% -ภายใน 2045 ต้องติด Top 30 ของโลกด้านนวัตกรรม และมี Digital economy >50% ของ GDP
ขณะที่ ดร.วีระยุทธ กาญจน์ซูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ระบุว่า เวียดนามกำลังเร่งเครื่องแซงไทย ด้วยวิสัยทัศน์และการลงทุนมหาศาลเพื่อเป็น “ประเทศรายได้สูง” ในปี 2045 ขณะที่ไทยยังคงเผชิญความท้าทายในการใช้จ่ายงบประมาณพัฒนาคนอย่างไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
เวียดนาม vs. ไทย: การไล่กวดแห่งศตวรรษที่ 21...แม้ในปัจจุบันเวียดนามจะยังตามหลังไทยในเชิงเศรษฐกิจและรายได้ประชากรต่อหัว แต่การขับเคลื่อนของพวกเขานั้นน่าจับตามองอย่างยิ่ง ผู้กำหนดนโยบายกล้าที่จะยอมรับจุดอ่อนและเดินหน้าปฏิรูปอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการตั้งเป้าหมายใหญ่ให้ประเทศเป็น “ประเทศรายได้สูง” ภายในปี 2045 ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตั้งเป้าไว้ที่ 7% ต่อปี การปฏิรูปนี้ครอบคลุมทั้งการปรับโครงสร้างระบบราชการครั้งใหญ่ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับเมกะโปรเจกต์ มูลค่ากว่า 10% ของ GDP ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ถนนและสนามบิน แต่ยังรวมถึงการสนับสนุน R&D ในอุตสาหกรรมไฮเทคอย่างเซมิคอนดักเตอร์ การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด และการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ
หนึ่งในหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การพัฒนาของเวียดนามคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แม้ปัจจุบันเวียดนามจะมีสัดส่วนแรงงานที่จบการศึกษาในระดับอาชีวะหรือปริญญาตรีน้อยกว่าไทย (13% เทียบกับไทย 21%) แต่พวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนและจับต้องได้ รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าผลิตบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์ถึง 50,000 คน ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยทำงานร่วมกับบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Samsung และ Marvell เพื่อพัฒนาแรงงานให้พร้อมสำหรับการวิจัยและผลิต ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีงบประมาณสำหรับการพัฒนาบุคลากรปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่กลับขาดความชัดเจนในการนำไปใช้ รายงานระบุว่าในขณะที่เวียดนามเน้นการพัฒนาทักษะที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย แต่ของไทยกลับมุ่งเน้นไปที่โครงการอย่าง "ระบบแฟ้มสะสมทักษะรายบุคคลระดับอุดมศึกษา" ซึ่งยังคงเป็นคำถามถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่า
หากไทยต้องการแข่งขันกับเวียดนามได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องเปลี่ยนจากการพูดคุยในระดับวิสัยทัศน์ มาสู่การวางแผนระดับโครงการอย่างจริงจัง มีการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม เพื่อเปลี่ยนเงินภาษีให้เป็นอนาคตของประเทศอย่างแท้จริง
**กระบองเพชร**
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี