จับตา...อนาคตอุตสาหกรรมไทย
** ภาคอุตสาหกรรมถือได้ว่าเป็นเครื่องยนต์สำคัญของอุตสาหกรรมไทย เพราะการผลิตหลักของประเทศคือสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้ก็มีสัดส่วนที่มากที่สุดของการส่งออกไทยทั้งหมด และภาคอุตสาหกรรมยังมีส่วนสำคัญต่อการจางงานในประเทศอีกด้วย แต่ด้วยบริบทของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ภาคอุตสาหกรรมของไทยจึงต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงนั้น
ตลอดปี 2568 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้เดินหน้ายกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ด้านยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยการจัดทำแผนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม และนำผล ที่ได้ไปเป็นแนวทางในการจัดทำแผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต จัดทำมาตรการ HEV/MHEV การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลโดยการเตรียมความพร้อมการจัดตั้งศูนย์ฮาลาล และการเชื่อมโยงความร่วมมือกับประเทศที่สำคัญหลายประเทศ อาทิ โมร็อกโก ตุรกี คาซัคสถาน อินโดนีเซีย จีน และโอมาน
นอกจากนี้ยังมีการรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมเหล็ก โดยการประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมห้ามตั้งหรือขยายโรงงานเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต รวมถึงการศึกษาการใช้มาตรการฯ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็กอื่น ๆ และส่งเสริมนโยบาย Green Steel รวมถึงการผลักดันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ด้านยกระดับ Eco-System อาทิ พัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากการพัฒนาแลนด์บริดจ์ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC)
ส่วนโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น โครงการ “Thailand Triangular Cooperation for Carbon Neutrality Capacity Building in Electrical and Electronics Industry in ASEAN” เน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของเกาหลี (KOICA) รวมถึงการสร้างความร่วมมือด้านพลังงานและอุตสาหกรรม (Energy and Industry Dialogue : EID) ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ร่วมกับกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น (METI) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานแห่งอนาคต และสังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมทั้งการศึกษาความพร้อมของตลาดในภูมิภาค ล้านช้าง - แม่โขง สำหรับการใช้งานยานยนต์พลังงานใหม่และยานยนต์อัจฉริยะ และการเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ด้านยกระดับการให้บริการสารสนเทศ อาทิ ยกระดับข้อมูลเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เช่น การติดตามกิจการสวมสิทธิ์ วิเคราะห์ วิจัย คาดการณ์แนวโน้มและเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เช่น ทบทวน ปรับปรุง ตัวแปรระบบการเตือนภัยภาคอุตสาหกรรมให้มีความแม่นยำขึ้น
ส่วนปี 2569 นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้วางทิศทางการทำงานของกระทรวงอุตสาหกรรม ไว้ใน 3 แนวทางหลัก ประกอบด้วย 1.สู้ การต่อสู้กับผู้ประกอบการที่กระทำผิดกฎหมายและสร้างมลพิษ เช่น 1.1ออกมาตรการเข้มข้นลดฝุ่น PM2.5 การรณรงค์ตัดอ้อยสด ลดการเผาควบคุมอ้อยเผา รวมถึงการปิดโรงงานรับซื้ออ้อยที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามข้อตกลงอ้อยไม่เผา 1.2 ปลดล็อกกฎระเบียบการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการให้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้ง่ายขึ้น 1.3 การใช้แพลตฟอร์ม “แจ้งอุต” รับเรื่องร้องเรียนของกระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้ระยะเวลาแก้ไขปัญหารวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเรื่องร้องเรียน 1 เรื่อง สามารถใช้เวลาดำเนินการเฉลี่ยภายใน 14 วัน 1.4 ทีมตรวจสุดซอยดำเนินการเชิงรุก ปราบปรามโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกฎหมาย ประกอบกิจการธุรกิจทุนสีเทา ผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน การลักลอบนำเข้า-ฝังกลบกากอุตสาหกรรมอันตราย 1.5 เรื่องมาตรฐานอุตสาหกรรม เพื่อแก้ปัญหาการจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ด้วยการใช้ระบบเอไอ ผ่าน มอก.วอทช์ ที่ค้นหาสินค้าไม่ได้มาตรฐานในช่องทางออนไลน์ 1.6 การรณรงค์ให้หน่วยงานดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการลดก๊าซเรือนกระจก ตามมาตรฐานคาร์บอนด์ฟุตพรินต์ 1.7 การใช้ระบบ i-Single Form และ i-Auditor เพื่อให้โรงงานรายงานตนเองผ่านระบบตรวจออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันดำเนินการได้ 100%
2.เซฟ การช่วยเหลือผู้ประกอบการ ได้แก่ 2.1 การส่งเสริมผู้ประกอบการที่ดี เพื่อให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีจริยธรรม ซึ่งใช้การปฏิบัติตามนโยบาย Mind 4 มิติเป็นหลักการดำเนินการ คือ ทำให้อยู่กับชุมชนได้ เป็นไปตามกับกติกาสากล วิธีประกอบการที่ดี การกระจายรายได้ “ตัวอย่างจากโรงงาน Delta Electronics ที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม ที่ทำเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหนึ่งในวัตถุดิบ มีขดลวดชิ้นหนึ่งที่ต้องพันด้วยมือ โรงงานก็ส่งงานนี้ไปให้ชุมชนนอกโรงงานเป็นผู้จัดทำ แล้วส่งกลับเข้ามาให้โรงงาน เกิดการกระจายรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย และกลายเป็นในกิจกรรมขององค์กร”
3.สร้าง การปฏิรูปกฎหมายและกลไกการทำงาน ได้แก่ 3.1 การปรับปรุงกลไกการทำงานให้ทันยุค แต่ละกรมแต่ละหน่วยงานมีการกำหนดนโยบายใหม่ๆ มีการใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำงานมากขึ้น เช่น กรมโรงงานมีเรื่องการจัดการกากอุตสาหกรรม การออกใบอนุญาตโรงงาน การออกคำสั่งต่างๆ การทำลายของกลาง การลงทะเบียน i-Industry สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย มีการทำระบบการสอบย้อนกลับ ที่ตรวจสอบได้ว่าอ้อยมาจากไหนอย่างไร การลงทะเบียนเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ทำได้กว่า 140,000 ราย และการกำหนดมาตรฐานต่างๆ ให้ทำได้รูปแบบออนไลน์ สร้างความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการอย่างมาก 3.2 สร้าง New Normal ใหม่ให้สังคมไทย การนำที่ปัญหาที่เคยถูกซุกซ่อนไว้ถูกนำขึ้นมาให้ประชาชนรับรู้ และมีการจัดการและแก้ไขอย่างจริงจัง
“สิ่งหนึ่งที่กระทรวงปรับเปลี่ยนอย่างชัดเจน คือ การนำเรื่องที่เป็นเรื่องลบมารายงานให้สังคมทราบ นำขึ้นมาทำให้ถูก ทำให้หนึ่งปีที่ผ่านมา กลายเป็น New Normal ของกระทรวง และ New Normal สำหรับสังคมประเทศไทยไปแล้ว คือทุกคนในสังคมรู้ว่ามีอะไรซุกอยู่ใต้พรมบ้าง คือเดิมเราพยายามแก้ไขอยู่แล้ว แต่พอมีการดึงขึ้นมาให้เห็น ทุกคนทุกสื่อก็ให้ความสนใจ คนในพื้นที่ก็ให้ความร่วมมือ มีการร้องเรียนมาตามระบบเข้ามาเรื่อยๆ เพราะคนรู้แล้วว่าเรื่องแบบนี้ไม่ปกติ และจะต้องแก้ไขให้ถูกต้อง”นายณัฐพล กล่าว
** กระบองเพชร **
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี