วันพุธ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา โลกการเงินกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคที่ “รายได้จากการทำงาน”ไม่ได้โตเร็วพอที่จะตามราคาสินทรัพย์ได้อีกต่อไป ข้อมูลจาก Global Wage Report ของ ILO ชี้ชัดว่า ค่าแรงจริง (real wage) ในหลายประเทศเกือบไม่เพิ่มขึ้นเลยเมื่อปรับตามเงินเฟ้อแม้เศรษฐกิจฟื้นตัวหลังโควิดแล้วก็ตาม ขณะที่ในบางภูมิภาค ค่าแรงยังคงติดลบต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี
นี่คือสัญญาณว่ารายได้จากการทำงานกำลังสูญเสียพลังซื้อในอัตราที่น่าเป็นห่วง เพราะค่าครองชีพโดยเฉพาะค่าที่อยู่อาศัยพุ่งสูงเกินกว่าจะตามทันได้
ในทางกลับกัน สินทรัพย์สำคัญของโลก—หุ้น กองทุน พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์—กลับเติบโตเร็วกว่าค่าแรง 3–5 เท่าในหลายประเทศตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
งานศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์การกระจายความมั่งคั่งพบว่าการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์เป็นปัจจัยใหญ่ที่สุดที่ผลักให้ความเหลื่อมล้ำขยายตัว เพราะผู้ที่มีทุนตั้งต้นสามารถสะสมสินทรัพย์และได้รับ “ผลตอบแทนจากทุน” ในอัตราที่เร่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผู้ที่ยังไม่มีเงินพอจะลงทุนตั้งแต่แรก ไม่มีโอกาสตามราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเลย
เมื่อราคาบ้านวิ่งแซงเงินเดือน : ความมั่งคั่งแยกจากแรงงานอย่างชัดเจน
ในไทย ภาพความเหลื่อมล้ำก็สะท้อนชัดจาก “ราคาบ้านที่วิ่งเร็วกว่ารายได้” เช่นกัน ข้อมูลจาก BOT และบทวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ ระบุว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมาราคาที่อยู่อาศัยในไทยเพิ่มขึ้นราว 45–50% ขณะที่รายได้เฉลี่ยของประชาชนเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 20–25% เท่านั้น หมายความว่าราคาบ้านโตเร็วกว่ารายได้เกือบ2 เท่า โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวที่ราคาที่ดินและต้นทุนก่อสร้างปรับขึ้นต่อเนื่องทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่ม “เอื้อมไม่ถึงบ้านหลังแรก” แม้ทำงานหลายปีแล้วก็ตาม
ช่องว่างนี้ตอกย้ำว่าคนที่สามารถสะสมสินทรัพย์ตั้งแต่เนิ่นๆ ได้มักจะทิ้งห่างคนที่ต้องพึ่งพาเพียงรายได้จากงานประจำซึ่งสะท้อนโครงสร้างความเหลื่อมล้ำที่กำลังขยายตัวในไทยไม่ต่างจากหลายประเทศทั่วโลกครับ เมื่อผสานกับภาวะเงินเฟ้อเชิงโครงสร้าง (structural inflation) ที่ถูกขับเคลื่อนโดยต้นทุนแรงงานสูงขึ้นการย้ายฐานการผลิต และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาสินทรัพย์ยิ่งมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง จนช่องว่างระหว่าง“ผู้ที่ถือครองสินทรัพย์” กับ “ผู้มีแต่รายได้จากงาน” ถ่างออกทุกปี
ในขณะเดียวกัน AI และ automation ก็เข้ามาเขย่าตลาดแรงงานอย่างรุนแรง IMF ประเมินว่า AI จะมีผลกระทบกับงานทั่วโลกราว 40% และอาจสูงถึง 60% ในประเทศพัฒนาแล้ว หมายความว่าแรงงานจำนวนมากจะถูกกดดันให้ค่าจ้างเพิ่มช้าลง หรือถูกแทนที่โดยเทคโนโลยี แม้รายได้และกำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
ดอลลาร์แข็ง ➞ ประเทศกำลังพัฒนาเสียเปรียบหนัก เกิดความเหลื่อมล้ำระดับโลก
ความเหลื่อมล้ำไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศ แต่กำลังขยายในระดับโลกเช่นกัน งานศึกษาของ IMF พบว่าเมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น 10% ผลกระทบที่มีต่อประเทศกำลังพัฒนานั้นรุนแรงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายเท่า GDP อาจหดตัวเฉลี่ย ประมาณ 1.9% ภายในหนึ่งปีขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วได้รับผลกระทบเพียง 0.6% และมีความสามารถในการฟื้นตัวเร็วกว่า
ดอลลาร์แข็งค่ามากในรอบปีที่ผ่านมา ทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) ไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น รัฐบาลต้องตัดงบลงทุน และความสามารถในการพัฒนาความรู้และทักษะของประชาชนลดลง
เมื่อทุนไหลเข้าประเทศที่ร่ำรวย แต่ไหลออกจากประเทศกำลังพัฒนา ช่องว่างความมั่งคั่งแบบข้ามประเทศจึงกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้ประชาชนในประเทศเหล่านี้ยิ่งเผชิญข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ทั้งค่าครองชีพสูงขึ้นค่าเงินอ่อนลงและต้นทุนชีวิตแพงขึ้น กล่าวได้ว่า โลกกำลังถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม :
ประเทศที่มีตลาดทุนแข็งแรง สกุลเงินแข็ง และถือครองเทคโนโลยี VS ประเทศที่พึ่งพาสินเชื่อต่างชาติ และไม่มีทรัพย์สินที่มูลค่าเพิ่มขึ้นตามโลกการเงิน
ทางรอดสู่ปี 2030 : ความรู้ทางการเงิน + การลงทุนเชิงรุก คือเกราะป้องกันที่แท้จริง
เมื่อเห็นภาพทั้งหมดแล้ว คำถามคือ คนทั่วไปควรทำอย่างไร? คำตอบไม่ใช่ “ทำงานให้หนักขึ้น” เพราะข้อมูลชี้แล้วว่าแรงงานไม่สามารถเอาชนะสินทรัพย์ได้อีกต่อไป การปรับตัวที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ทำงาน” เป็น “ผู้ถือครองสินทรัพย์” ให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร กองทุน อสังหาฯ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเข้าใจ ความมั่งคั่งยุคนี้เกิดขึ้นจากการให้เงินทำงานควบคู่ไปกับแรงงานของเราเอง อย่างไรก็ตาม ความรู้ทางการเงินคือสิ่งที่แบ่ง “ผู้ชนะ” และ “ผู้แพ้” อย่างแท้จริง เพราะการลงทุนที่ไม่มีความเข้าใจความเสี่ยงอาจย้อนกลับมาทำลายความมั่นคงของตัวเองได้ทันที
ในยุคที่เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยผันผวน เทคโนโลยี disrupt งาน และราคาสินทรัพย์วิ่งเร็วกว่ารายได้การสร้างวินัยการลงทุนและความรู้ทางการเงินคือ “ทักษะชีวิต” ที่สำคัญพอๆ กับทักษะดิจิทัล หากเข้าใจภาพใหญ่และลงมือสร้างสินทรัพย์ตั้งแต่วันนี้ โอกาสในการอยู่ฝั่งผู้ชนะในปี 2030 ก็ยังอยู่ในมือเราเสมอครับ
ดร.กร พูนศิริวงศ์

กขค. ผนึก สคบ. ร่วมขับเคลื่อนและกำกับดูแล 'ดิจิทัลมาร์เก็ต'
วอลเลย์บอลหญิงประเดิม!เช็คโปรแกรมแข่งซีเกมส์วันพุธนี้
'กอ.รมน.'เข้มเฝ้าระวัง 'โดรนสอดแนม–โดรนพลีชีพ' ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย เขมร
ซีเกมส์เปิดฉาก!พิธีเปิดยิ่งใหญ่-‘พาณิภัค’จุดไฟคบเพลิง
เปิดภาพ! พระราชินี ทรงพระดำเนินร่วมกับพาเหรดทัพไทยเข้าสู่สนามพิธีเปิดซีเกมส์ครั้งที่ 33

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี