ช่วงนี้ลุงทรัมป์เดินสายไปโน่นมานี่ แต่ไม่ว่าจะไปไหนล้วนฝุ่นตลบ โดยเฉพาะทริปอังกฤษ คนอังกฤษต่อต้านลุงผมเป๋ถึงอกถึงใจมาก ตั้งแต่บอลลูนยักษ์เบบี้ทรัมป์ รูปปั้นทรัมป์นั่งบนโถส้วมพลางทวิตรัวๆ ที่หนักหนาสาหัสสุดๆ เห็นจะเป็นข้อความต้อนรับบนสนามหญ้าขนาดใหญ่ บริเวณสนามบินที่เครื่องบินท่านผู้นำอเมริกาจะร่อนลง ปรากฎข้อความทักทายแบบบริติชว่า “ออย ทรัมป์” หรือ “หวัดดี ทรัมป์” พร้อมภาพอวัยวะเพศชายขนาดมหึมา ตามมาด้วยข้อความว่า “โลกร้อนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่เป็นเรื่องจริง”
อาทิตย์ที่ผ่านมามีหลายประเด็นน่านำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ แต่ผู้เขียนเห็นว่ามีประเด็นหนึ่งที่ส่งผลกระทบทั่วโลก นั่นคือการออกกฎใหม่ในการขอวีซ่าเข้าอเมริกา
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง ลุงแซมออกกฎเข้มแบบไม่แคร์สื่อ บังคับให้ผู้ขอวีซ่าเข้าอเมริกา แจ้งข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ทางโซเชียลมีเดียทุกประเภทย้อนหลังไป 5 ปี โดยให้ระบุรายละเอียดทุกช่องทางสื่อสารทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook Google Instagram LinkedIn Twitter และ YouTube แถมต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการใช้บริการอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น Douban Tencent QQ และ Sina Weibo ของประเทศจีน
ทุกคนต้องทำตามกฎเข้มข้อนี้อย่างเข้มงวด ยกเว้นนักการทูตหรือข้าราชการเท่านั้นที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฏนี้ คาดว่าจะมีผลกระทบต่อผู้ที่ยื่นขอวีซ่าเข้าอเมริกาปีละ 14.7 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ยื่นขอวีซ่าชั่วคราว 14 ล้านคน และผู้ยื่นขอวีซ่าถาวร 710,000 คน
กระทรวงการต่างประเทศอเมริกาเปลี่ยนแบบฟอร์มการยื่นขอวีซ่า โดยเพิ่มการถามชื่อบัญชีโซเชียลมีเดีย เบอร์โทรศัพท์ กิจกรรมการเดินทางระหว่างประเทศและประวัติการเนรเทศในระยะเวลา 5 ปี นอกจากนี้ผู้ขอวีซ่าจะต้องตอบคำถามว่าสมาชิกในครอบครัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการก่อการร้ายหรือไม่
พวกหัวหมออาจจะคิดโกหกว่าตนไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดียก็น่าจะเลี่ยงการตอบคำถามได้ แต่กระทรวงการต่างประเทศมะริกันขู่ฟ่อทันทีว่า การโกหกเกี่ยวกับกิจกรรมโซเชียลมีเดียจะมีผลต่อการตรวจคนเข้าเมืองสำหรับผู้ขอวีซ่า พูดง่ายๆ แบบบ้านๆคือ นอกจากจะไม่ให้วีซ่าแล้ว อาจโดนแขวนในแบล็คลิสต์นั่นเอง
ตาลุงผมเป๋โดนัลด์ ทรัมป์เสนอกฏนี้เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคมพ.ศ. 2561 นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ “ตรวจคัดกรองแบบเข้ม” ของรัฐบาล สำหรับผู้อพยพย้ายถิ่นฐานและนักท่องเที่ยวทุกคน เล่นเอาชาวโลกด่าลุงแกเสียงขรมถมเถ โดยเฉพาะสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน หรือ ACLU เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นการละเมิดเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง ขัดกับบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอเมริกัน
เล่นกันแบบนี้ บรรดาท่านทูตทั้งหลายในประเทศใหญ่น้อยทั่วโลก เลยต้องเล่นบทลูกขุนพลอยพยัก อย่างในประเทศไทย ทิมโมธี เอ็ม. แชลเรอร์ กงสุลใหญ่ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง แถมบอกอีกด้วยว่าการขอข้อมูลโซเชียลมีเดียของผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกา ไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เพราะเป็นข้อมูลที่อยู่ในสาธารณะ ดังนั้นผู้ขอวีซ่าในไทยทุกคนจะต้องถูกสอบถามเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขอวีซ่านักท่องเที่ยว วีซ่าชั่วคราว วีซ่านักศึกษา หรือวีซ่าถาวรสำหรับคนที่จะไปอยู่อเมริกาแบบถาวร อย่างวีซ่าคู่สมรสและวีซ่าคู่หมั้นโดนหมด ทุกคนจะต้องตอบคำถามเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดียทั้งสิ้น
ผู้เขียนนึกย้อนไปถึงสมัยที่ยื่นเรื่องของวีซ่ามาอเมริกา ตอนนั้นก็ถือว่าขอยากขอเย็นแล้ว มาเจอกฎเหล็กแบบนี้คงหืดขึ้นคอ จำได้ว่าตอนนั้นต้องเตรียมเอกสารเป็นปึกใส่แฟ้มไปอย่างดี แสดงหลักฐานมากมาย และต้องไปรอเข้าคิวตั้งแต่ตีห้า วันที่ไปสัมภาษณ์วีซ่านั้น เจอคุณป้าจากปักษ์ใต้คนหนึ่ง มายืนรอวีซ่าเช่นกัน เพราะลูกสาวที่แต่งงานกับอเมริกันคลอดลูก และอยากให้คุณป้าไปเยี่ยม หลังจากผู้เขียนเดินเรื่องเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน เห็นคุณป้ายืนร้องไห้โฮๆ น้ำตาไหลพรากแบบไม่อายใคร ถามดูจึงรู้ว่าทางสถานทูตไม่ยอมให้วีซ่าคุณป้าไปเยี่ยมลูกสาว จึงได้แต่ถอนใจแล้วปลอบโยนไปตามสมควร
จะว่าไปแล้วอเมริกันไม่มีหลักการอะไรนักหรอก แม้จะมีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายต่างๆ นานาเรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่พอถึงเวลาหนึ่งก็เปลี่ยนแปลงได้ พลิ้วได้ตามวาระ เรื่องแบบนี้เคยเกิดมาก่อนหน้านี้แล้ว
หลังเหตุการณ์ 9/11 คนอเมริกันกลัวการก่อการร้ายอย่างชนิดที่เรียกว่า “ขี้ขึ้นสมอง” หวาดระแวงมุสลิมลามไปจนถึงคนอินเดียและแขกซิกซ์ อะไรก็ตามที่โพกผ้า มะริกันประสาทหลอนหมด นึกว่าเป็นพวกกลุ่มก่อการร้าย ฝ่ายรัฐบาลอเมริกันก็หวาดระแวงพอกัน จึงเกิดโครงการสอดแนมพลเมืองตนเองในชื่อโครงการปริซึมสมัยรัฐบาลจอร์จ บุช เมื่อปี ค.ศ. 2007
ไอ้โครงการที่ว่านี่เรียกง่ายๆ คือ “ถ้ำมองส่องพลเมือง” เพราะให้สิทธิ์ในการดักฟัง บันทึก เก็บข้อมูลทางโทรศัพท์ และทางอินเตอร์เนตของพลเมืองอเมริกันทั้งประเทศ หน่วยงานที่มีอำนาจในการนี้คือ สำนักความมั่นคงแห่งชาติหรือเอเอสเอ หน่วยสืบราชการลับหรือซีไอเอ และสำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ สามารถเจาะเข้าสู่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ในอเมริกา เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ไปค้นข้อมูลส่วนตัวทุกประเภท ซึ่งหน่วยงานที่ว่านี้ทำได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องขอหมายศาลเลยด้วยซ้ำ
ต่อมาสภาคองเกรสรับลูกด้วยการออกรัฐบัญญัติที่เรียกว่า “รัฐบัญญัติรักชาติ” หรือ Patriot Act เพื่อเดินหน้าในเรื่องการดักฟังและละเมิดเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมืองอเมริกัน ภายใต้เหตุผลเรื่องความปลอดภัยแห่งชาติ
เห็นไหมล่ะว่าลุงแซมพลิกลิ้นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งกับพลเมืองของตนเอง ภาพพจน์ที่สร้างอย่างสะสวยทำให้ชาวโลกหลงเคลิ้มกับเสรีภาพแบบอเมริกัน แต่ในเวลาเดียวกันก็ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของคนในประเทศ ยิ่งการออกกฎใหม่เรื่องวีซ่า ยิ่งอดที่จะนึกถึงท่อนสุดท้ายของเพลงชาติอเมริกันไม่ได้
O say does that star-spangled banner yet wave
O'er the land of the free and the home of the brave
โอ้ ธงดาราประดับผืนนั้นยังคงสะบัดพลิ้ว
เหนือดินแดนแห่งอิสรภาพและแผ่นดินแห่งความกล้าหาญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี