หลายท่านคงเคยได้ยินชื่อ หรือรู้เรื่องราวของนายตำรวจมือขมังที่ชื่อ “ขุนพันธ์ฯ” หรือ พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช (บุตร พันธรักษ์) มาบ้างแล้ว
แต่สำหรับท่านที่ไม่เคยได้ยิน หรือไม่เคยรู้จัก ก็จะขอเล่าให้ฟังคร่าวๆ
ขุนพันธ์ฯ เป็นคนนครศรีธรรมราช เป็นคน 5 แผ่นดิน เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2446 ถึงแก่กรรมในสมัยรัชกาลที่ 9 พ.ศ. 2549 สิริรวมอายุได้ 103 ปี
ชีวิตของขุนพันธ์ฯ เป็นชีวิตที่มีค่าของแผ่นดินเมืองใต้และเมืองไทย เป็นแบบอย่างของตำรวจน้ำดีมีฝีมือที่กรมตำรวจส่งไปปราบปรามโจรผู้ร้ายในทุกถิ่นที่ ที่ไม่มีตำรวจนายใดปราบปรามได้สำเร็จ
กล่าวกันว่าขุนพันธ์ฯ มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องคาถาอาคม และนำวิชาความรู้นี้ไปปราบปรามโจรผู้ร้าย จนได้รับฉายาว่าเป็น “จอมขมังเวทย์”
ขุนพันธ์ฯ เคยเล่นการเมืองครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2519 และได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดพรรคกิจสังคม แต่อยู่ได้เพียงปีเดียวก็ลาออก
เหตุผลที่ขุนพันธ์ฯ ตัดสินใจลงเล่นการเมืองนั้น ไม่น่ามีใครสักกี่คนนักที่ทราบอย่างชัดเจน
แต่เหตุผลที่ขุนพันธ์ฯ ตัดสินใจเลิกเล่นการเมือง หลายคนทราบชัดเจน
เพราะเมื่อตัดสินใจเดินออกจากสนามการเมือง ขุนพันธ์ฯ สั่งห้ามลูกหลานเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด โดยให้เหตุผลว่า การเมืองเป็นเรื่องสกปรก
ขุนพันธ์ฯ กล่าวว่า ผู้มีวิชาอาคมต้องรักษาศีล รักษาสัจวาจา แต่ในวงการเมืองอาจต้องใช้เล่ห์กล ใช้อุบาย ต้องพูดปด เพื่อการเอาตัวรอด ข้าจึงทนทำงานนี้ต่อไปไม่ได้
40 กว่าปีเข้านี่แล้ว ที่ขุนพันธ์ฯ เดินออกจากวงการการเมือง และประกาศสัจธรรมแห่งวงการนี้ออกมา แต่กระนั้นผู้คนก็ยังตะเกียกตะกายป่ายปีนเข้าสู่วงการนี้ไม่ขาดสาย
ถ้าจะจำแนกแยกกลุ่มของผู้คนที่อยู่ในวงการเมือง คงจำแนกออกได้เป็น 6 กลุ่ม หรือ 6 ประเภท ตามเหตุผลและมูลเหตุชักจูงใจที่ทำให้พวกเขากระโจนเข้ามา
ประเภทแรก คือพวกที่ศรัทธาเชื่อมั่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เชื่อว่าการเป็นผู้แทนราษฎร หรือเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบรัฐสภา จะสามารถทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนได้ นักการเมืองกลุ่มนี้เป็นนักการเมืองกลุ่มเดียวที่ซื่อสัตย์ มือสะอาด และเข้ามานั่งในรัฐสภาโดยไม่มีการซื้อเสียง ในอดีตมีนักการเมืองแบบนี้หลายคน คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ระยะใกล้ที่หลายคนคงยังจำได้คือ นายแคล้ว นรปติ แต่ในยุคปัจจุบัน นักการเมืองประเภทนี้มีไม่มากนัก ที่สังคมส่วนใหญ่ยอมรับ คนหนึ่งน่าจะเป็นนายชวน หลีกภัย
ประเภทที่ 2 คือพวกที่ศรัทธาเชื่อมั่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เชื่อว่าการเป็นผู้แทนราษฎร หรือเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบรัฐสภา จะสามารถทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนได้ เหมือนนักการเมืองกลุ่มแรก ที่ต่างจากกลุ่มแรกคือ นักการเมืองกลุ่มนี้ ใช้ทุกวิถีทางเข้าสู่อำนาจ ทั้งการซื้อเสียง กลั่นแกล้ง ฉ้อโกง เมื่อมีอำนาจแล้ว ก็ใช้อำนาจ และกติกาในระบอบประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนมาตักตวงผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง นักการเมืองบ้านเราในอดีตและปัจจุบัน จำนวนไม่น้อยเป็นเช่นนี้ บางคนยังเล่นการเมืองอยู่ในประเทศ บางคนหนีคุกหนีตะรางไปบงการลูกน้องอยู่ต่างประเทศ
ประเภทที่ 3 คือพวกที่เล่นการเมือง เพื่อรักษาและพัฒนาผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง ถ้าไม่ส่งเครือญาติหรือตัวแทนของตนลงเล่นการเมือง ก็จะกระโดดลงมาเล่นด้วยตัวเอง ในคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันก็มีพวกนี้ให้เห็นอยู่
ประเภทที่ 4 คือพวกที่เล่นการเมือง ด้วยหวังอาศัยฐานะและบทบาททางการเมืองมาปกป้องคุ้มครองตนจากการรังแกของอำนาจรัฐ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่อธุรกิจอาบอบนวด ที่เคยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตำรวจอย่างดีมาโดยตลอด แต่สุดท้ายกลับโดนเล่นงานแทบเอาตัวไม่รอด จนในที่สุดต้องขายธุรกิจอ่างทั้งหมด ลงเล่นการเมือง คือตัวอย่างที่สังคมยังคงจำกันได้ดี
ประเภทที่ 5 คือข้าราชการบำนาญบางคน ที่เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว แทนที่จะใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขด้วยเงินบำนาญที่รับราชการมาทั้งชีวิต แต่กลับดิ้นรนกระเสือกกระสนเล่นการเมือง เพื่อหวังอาศัยฐานะและบทบาททางการเมืองที่แอบอิงอยู่กับกลุ่มผู้กุมอำนาจรัฐ มาปกปิดและปกป้องความผิดในอดีตของตนเมื่อครั้งยังรับราชการเป็นผู้บริหารกระทรวงทบวงกรมอยู่ ลองไล่ชื่อนักการเมืองในสภาขณะนี้ดู ก็จะเห็นได้ไม่ยาก
ประเภทที่ 6 คือพวกที่ขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้ เพราะลงเมื่อไรก็จะถูกเสือไล่กัด เนื่องจากตัวเองมีแผลให้เขาเช็คบิล จึงต้องขี่หลังเสือ คือเล่นการเมืองต่อไป สืบทอดอำนาจต่อไป เดินไม่ไหว ก็ต้องประคองกันมา พอมาเล่นการเมืองแล้ว วาระแรกที่คิด ไม่ใช่จะทำอะไรเพื่อประเทศชาติและประชาชน แต่จะทำอย่างไรให้ตนมีพรรคพวกมาสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น เพื่อจะอยู่ในอำนาจได้นานขึ้น และมั่นคงขึ้น
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางนักการเมืองทั้ง 6 ประเภท หรือ 6 กลุ่มนี้ ยังมีคนอีกประเภทหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่ง ที่มีสายสัมพันธ์ และอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายของนักการเมืองเหล่านี้ โดยเฉพาะนักการเมืองที่กุมอำนาจรัฐ คนประเภทนี้หรือคนกลุ่มนี้ คือ คนที่สังคมบ้านเราเรียกกันว่า “เจ้าสัว” ซึ่งเป็นเจ้าของทุนขนาดใหญ่ไม่กี่เจ้า ที่มีบทบาทครอบงำนโยบายบ้านเมืองไม่มากก็น้อยมาทุกยุคทุกสมัย มากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับว่ายุคไหนสมัยไหน ผู้กุมอำนาจรัฐจะหิวโหยแค่ไหน
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี