ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ผมได้รับเชิญไปร่วมอภิปรายที่ศาลอาญา รัชฎาหัวข้อจำไม่ได้แล้วครับ ที่จำได้ก็คือ ผมพูดว่า“การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีทั้งปวงนั้นเป็นอำนาจของศาลซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมายผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรมและปราศจากอคติทั้งปวงหลักการเช่นนี้รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ด้วยบทลงโทษ นั่นก็มีเขียนเอาไว้ในกฎหมาย จะลงโทษหนัก เบาแค่ไหนขึ้นอยู่กับพฤติกรรม พฤติการณ์แห่งคดี ซึ่งศาลท่านใช้คำว่า ดุลยพินิจ”ผมบอกว่า ดุลยพินิจนี่น่ากลัวมาก ถ้าผมจะรอดคุก ท่านก็บอกว่า “นายสำเริงเป็นคนดี มีความรู้มีความสามารถแม้จะกระทำความผิดก็สมควรให้โอกาส....” ขณะเดียวกัน ถ้าเอาผมตายท่านก็บอกว่า “นายสำเริงเป็นคนดีมีความรู้มีความสามารถยังกระทำความผิดอีกสมควรลงโทษสถานหนัก....”
ผมนึกถึงเรื่องนี้ ก็เพราะเมื่อวานนี้ มีเหตุการณ์ชวนระทึกอยู่ 2 เหตุการณ์ ที่สภาผู้แทนราษฏรหนึ่ง และที่ศาลรัฐธรรมนูญอีกหนึ่ง
ที่สภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นการประชุมอภิปรายซักฟอกรัฐบาลใน 2 ประเด็นคือการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ก่อนบริหารราชการแผ่นดิน และการแถลงนโยบายของรัฐบาลโดยไม่แจ้งที่มาในการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน
ส่วนที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่าหัวหน้าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนกระทั่งถึง วันที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะรัฐมนตรี เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2562 นั้น เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือไม่
ถ้าหัวหน้าคณะ คสช. ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พลเอกประยุทธ์ก็จะกระเด็นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีทันทีเพราะรัฐธรรมนูญเขียนเป็นข้อห้ามเอาไว้
ขณะที่ สภาผู้แทนกำลังอภิปรายซักฟอกรัฐบาลอยู่นั้น ศาลรัฐธรรมนูญก็ผ่านคำนิจฉัยออกมาให้ พลเอก ประยุทธให้ได้เฮ
เวลาประมาณ 14.00 น. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ วรวิทย์ กังศศิเทียมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยเรื่องนี้ว่า
“หัวหน้าคณะรักษาความความสงบแห่งชาติเป็นผลสืบเนื่องมาจากการยึดอำนาจและเป็นตำแหน่งที่ใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยเห็นได้จากการออกประกาศและคำสั่งหลายฉบับ
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาหรือ การกำกับดูแลของรัฐ หรือหน่วยงานรัฐใด
ทั้งเป็นตำแหน่งที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งโดยกฎหมายไม่มีกฎหมายกำหนดกระบวนวิธีการได้มาหรือการเข้าสู่การดำรงตำแหน่ง
โดยมีอำนาจหน้าที่เป็นการเฉพาะชั่วคราว ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้มีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงปลอดภัยของประเทศและประชาชน
ดังนั้น ตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงไม่มีสถานะตำแหน่งหน้าที่หรือลักษณะงานทำนองเดียวกันกับพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ และไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐตามมาตรา มาตรา 98 อนุ 15
ผู้ถูกร้อง (พล.อ. ประยุทธ์ -ผู้เขียน)จึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 อนุ 6 ประกอบมาตรา 98 อนุ 15
อาศัยเหตุผลดังกล่าว จึงวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะเหตุเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรค 1 อนุ 4 ประกอบ มาตรา 160 อนุ 6ประกอบ มาตรา 98 อนุ 15”
ในรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดว่า นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งหากมีลักษณะต้องห้ามอันได้แก่การเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐซึ่งมาตราที่เกี่ยวข้องมีดังนี้
มาตรา 170 วรรค 1(4) ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 160
มาตรา 160 ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98
มาตรา 98 (15) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
เออ ! นึกไม่ออก และคาดไม่ถึงจริงๆ
ส่วนที่สภาผู้แทนราษฎร แม้จะเป็นการอภิปรายแบบไม่มีการลงมติเป็นการซักถามซักฟอกไปด้วย และเสนอแนะไปด้วย ก็ชวนให้ระทึกเพราะก่อนหน้านั้นมีการเสนอข่าวอึกทึกครึกโครมจะประชุมลับหรือไม่ลับ พลเอกประยุทธ์ จะหาเหตุ ไม่มาประชุมหรือไม่
ปมถวายสัตย์ปฏิญาณ ที่นายกรัฐมนตรี กล่าวนำไม่ครบถ้วนตามที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ นั้นจะชี้แจงอย่างไร
ในเมื่อรองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองามซึ่งอยู่ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่เป็น รองเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี เป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นรอง นายกรัฐมนตรี อยู่ในเหตุการณ์การถวายสัตย์ปฏิญาณ มาแล้วกับนายกรัฐมนตรีเกือบ 10 คนจนกระทั่งมาเขียนหนังสือให้คนไทยรับรู้รับทราบว่า
“การถวายสัตย์ปฏิญาณนั้นต้องกล่าวพอดี ที่รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้มากไปก็ไม่ได้ น้อยไปก็ไม่ได้” นายวิษณุเคยเขียนไว้อย่างนี้เออ มาคราวนี้นายวิษณุ เครืองาม จะออกรูไหน ?
ผมเชื่อว่าคนทั้งประเทศที่เฝ้าฟังการอภิปราย่างก็รอลุ้นในขณะที่ฝ่ายค้านต่างดาหน้า พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการที่นายกรัฐมนตรีกล่าวนำในการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนนั้นรัฐบาลบริหารประเทศไปก็ไม่ทราบว่าเป็นโมฆะ หรือโมฆียะเท่ากับบริหารประเทศยังไม่ได้ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการการใช้จ่ายงบประมาณ ทำไม่ได้
นอกจากนั้นยังตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเจตนาที่จะถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วนหรือไม่โดยจะละเมิดรัฐธรรมนูญด้วยการทำรัฐประหารอีกหรือไม่
จอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรีหลายสมัย เคยถวายสัตย์ปฏิญาณนับครั้งไม่ถ้วนไม่มีข่าวว่า การถวายสัตย์ที่จอมพลถนอมกล่าวนำนั้นขาดตกบกพร่อง
แต่ในความเป็นจริง จอมพลถนอมก็ปฏิวัติหลายครั้ง หลายหน
ทางออกของเรื่องนี้ที่ฝ่ายค้านเสนอแนะคือ พลเอกประยุทธ์ ต้องลาออก
ที่เบาหน่อยก็เสนอให้นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลพระกรุณาขอถวายสัตย์ปฏิญาณอีกครั้งให้ถูกต้อง
นายวิษณุลอดช่องออกจนได้ โดยชี้แจงต่อสภาว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณนั้นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับคณะรัฐมนตรี
ส่วนที่ฝ่ายค้านสงสัยว่า รัฐบาลบริหารบ้านเมืองได้หรือไม่ก็ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติไปแล้วสองฉบับ (โดยสภาแห่งนี้)แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ตำรวจ ทหารไปแล้ว
ทุกอย่างดำเนินการไปตามปกติ ว่าอย่างนั้นเถอะ
มีคำถามที่นายวิษณุไม่ได้ตอบก็คือการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนนั้นจะเป็นบรรทัดฐานให้รัฐบาลต่อไปในวันข้างหน้าเอาอย่างได้หรือไม่
คำถามนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากตระหนักว่าการกล่าวคำปฏิญาณไม่ครบถ้วน จะด้วยตื่นเต้น ประหม่าหรือด้วยเหตุผลใดก็ตามสำหรับคนที่จะทำหน้าที่ นายกรัฐมนตรี
เป็นความเสียหายจนนำมาสู่การอภิปราย การซักฟอกก็ไม่น่าที่จะทำให้เกิดขึ้นอีกเลย
คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องระมัดระวัง
ถ้าคิดว่า เคยมีมาแล้ว เกิดขึ้นอีกได้ ไม่เห็นจะเป็นไรก็ทะลึ่งเกินกว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วละครับ
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี